อุดรธานี-เครือข่ายวิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไทยร่วมมือกับภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยเตรียมแปลงสาธิตการเพาะปลูกกัญชาอย่างถูกวิธีและเสนองานวิจัยต่อทางรัฐบาลเพื่อนำมาใช้เป็นไปตามตำราแพทย์แผนไทย และถูกต้องตามกฎหมาย พ.ร.บ.กัญชา
วันนี้ (9 เมษายน 2562) ณ มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นไทย ชุมชนพรสวรรค์ ในเขตเทศบาลตำบลหนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ผู้อำนวยการมหาวิชชาลัยภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นไทย ให้การต้อนรับ ดร.องอาจ วิเศษ ประธานเครือข่ายวิจัยและพัฒนาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไทย และ คณะผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ของ “เครือข่ายวิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไทย ประกอบด้วย พท.กฤตนัน พันธุ์อุดม กรรมการสภาแพทย์แผนไทย อุปนายกสมาคมชะมดไทย พท.ฉัตรชัย ไตรภูธร อนุกรรมการสอบสวน สภาการแพทย์แผนไทย นายกสมาคมชะมดไทย นางสาวอิสยาห์ อธิจร ผู้ประกอบการคลินิกไทยเซ้นส์คลินิกการแพทย์แผนไทย, ผู้ประกอบการไทยเซ้นส์&สปาเมเนเจอร์ พท.ผ.วดี พันธุ์อุดม แพทย์แผนไทยผดุงครรภ์ไทย นายประดิษฐ์ บุญเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกกัญชาไทย และ นายรุ่งเจริญ บุตรศรีภูมิ (อดีตเจ้าหน้าที่ด้านดินของบริษัท CP) ผู้เชี่ยวชาญด้านดินเพาะปลูกกัญชาไทย ได้เดินทางมาดูความเป็นไปได้ที่จะผลักดันต่อทาง กระทรวงสาธารณสุข และ ปปส. จะนำเอาพื้นที่ของ “มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นไทย” มาเปิดเป็น “ศูนย์วิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไทย” พร้อมกับพัฒนาเป็นแปลงสาธิตในการปลูกกัญชาสายพันธ์ต่าง ๆ ตาม พ.ร.บ.ปลูกกัญชา
ดร.องอาจ วิเศษ ประธานเครือข่ายวิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไทย กล่าวว่า จากประกาศของราชกิจจานุเบกษาได้มีการเผยแพร่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2562 ที่ระบุให้ “กัญชา” และ“กระท่อม” สามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคได้ ทำให้ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นชาติแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้หลายประเทศทั่วโลกได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้มีการอนุญาตให้ประชาชนใช้กัญชา และพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ในการรักษาโรคและประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ หากกล่าวย้อนกลับไปประเทศไทยว่าด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้มีการแบ่งยาเสพติดให้โทษออกเป็น 5 ประเภท เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวิธีการควบคุมที่แตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสม เนื่องจากแต่ละประเภทมีอันตราย และความจำเป็นในทางการแพทย์ไม่เหมือนกัน โดย ‘กัญชา’ นั้นจัดอยู่ในประเภท 5 ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกับ พืชกระท่อม พืชฝิ่น และพืชเห็ดขี้ควาย ซึ่งมีโทษทางอาญากับผู้เสพและผู้ครอบครองและไม่มีการอนุญาตให้นำมาใช้ในทางการแพทย์แต่อย่างใด
ดร.องอาจ กล่าวอีกว่า กระทั่งเมื่อวันที่ 14 ก.พ.62 ที่ผ่านมา ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ ได้อนุญาตให้องค์การเภสัชกรรมทำการปลูกกัญชาทางการแพทย์ พร้อมทั้งได้ลงนามในหนังสืออนุญาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้องค์การฯ ได้ดำเนินการปลูกกัญชาทางแพทย์ สำหรับเป็นวัตถุดิบนำมาสกัดเป็นสารสกัดกัญชาทางการแพทย์ และที่ผ่านมาทาง “เครือข่ายภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นอีสาน” ได้ร่วมมือกับทางคณะแพทย์แผนไทยหลายองค์กรจัดตั้งเป็น เครือข่ายวิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไทย เพื่อขับเคลื่อนเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการประสานงานระหว่าง ภาครัฐและภาคเอกชนจับมือกันดำเนินการ เพาะปลูกกัญชาอย่างเสรีและถูกกฎหมายเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไทย
ด้าน ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ผอ.มหาวิชชาภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางเราก็ได้เปิดการเรียนการสอนและวิจัย ด้านการเพาะเห็ดสายพันธุ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ “เห็ดเป็นยา” จนประสบความสำเร็จไปแล้วหลายด้าน เพราะได้รับการสนับสนุนการวิจัยจากทาง ผศ.ดร.นิภาพร อามัสสา หัวหน้าโครงการวิจัย สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตรและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จ.นครราชสีมา เป็นผู้ชี้แนวทาง “กัญชาเป็นยา” และพร้อมร่วมมือกับทางเครือข่ายฯในการนำวิจัยด้านยาชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตจากกัญชา เพราะที่ผ่านมาจากงานวิจัยทางการแพทย์พบว่า ‘กัญชา’ มีสาร 2 ชนิด ที่ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ได้แก่ 1.สาร CBD (Cannabidiol) มีคุณสมบัติลดอาการคลื่นไส้อาเจียนและการบวมอักเสบของแผล 2.สาร THC(Tetrahydrocannabinol) มีคุณสมบัติช่วยให้ความรู้สึกผ่อนคลายและลดอาการปวด
ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า ด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ‘กัญชา’ นั้นจัดอยู่ในประเภท 5 ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีโทษทางอาญากับผู้เสพและผู้ครอบครอง เราจึงเห็นตามข่าวสารต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง เวลาเจ้าหน้าที่จับกุมกัญชาอัดแท่งทั้งรายเล็กรายใหญ่ รวมทั้งกลุ่มคนที่ปลูกต้นกัญชาส่งขายก็มีให้เห็นเช่นกัน ประเด็นกัญชาเสรีในไทยนั้น เริ่มมีการถกเถียงกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว กระทั่งเมื่อวันที่ 14 ก.พ.62 ที่ผ่านมา ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ ได้อนุญาตให้องค์การเภสัชกรรมทำการปลูกกัญชาทางการแพทย์
พร้อมทั้งได้ลงนามในหนังสืออนุญาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้องค์การฯ ได้ดำเนินการปลูกกัญชาทางการแพทย์ สำหรับเป็นวัตถุดิบนำมาสกัดเป็นสารเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาชนิด น้ำมันหยดใต้ลิ้น สำหรับนำไปใช้ในการทดลองทางคลินิกในผู้ป่วยที่ร่วมโครงการวิจัย ก่อนมีการประกาศอย่างเป็นทางการจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้มีการเผยแพร่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2562 ที่ระบุให้“กัญชา”และ“กระท่อม” สามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคได้
ผอ.มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นไทย กล่าวย้ำท้ายอีกว่า ด้วยเหตุนี้เองทางเราจึงได้ประสานงานกับทาง “เครือข่ายวิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไทย” เพื่อขอให้เราเปิดเป็น “ศูนย์วิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไทย” สร้างเป็นแปลงสาธิตเพาะปลูกกัญชา อย่างถูกวิธีทั้งด้านการเตรียมดิน การเพาะปลูกให้เป็นพืชออร์แกนิกปลอดสารพิษ และ ให้ความรู้ด้านข้อกฎหมาย พ.ร.บ.ปลูกกัญชา ตามที่ทางรัฐบาลประกาศ และทางเราก็จะร่วมขับเคลื่อนขออนุญาตปลูกกัญชาเสรีต่อทางรัฐบาลในด้านต่าง ๆ อีกต่อไป.


