“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไวไว”เตรียมขยายธุรกิจโมเดลใหม่-ปั้นร้านอาหารสู่แบรนด์ระดับโลก-แตกไลน์สินค้าออร์แกนิค-สินค้าเกษตร หวังผลักดันยอดขายทะลุ 10,000 ล้านใน 5-10 ปีข้างหน้า นายปรีชา นภาพฤกษ์ชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปภายใต้เครื่องหมายการค้า “ไวไว ควิกแสบ และซือดะ” เปิดเผยว่า เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มธุรกิจอาหารมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความต้องการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ ภายในปี 2568 ตลอดจนเทคโนโลยี่เข้ามามีบทบาทในโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารที่เป็นทางเลือกใหม่ๆมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้แบรนด์ลอยัลตี้ที่มีต่อสินค้าที่ออกวางตลาดแต่ละตัวลดน้อยลง ทำให้บริษัทต้องนำจุดแข็งของฐานธุรกิจเดิมมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าผ่านการแตกโมเดลทางธุรกิจใหม่ขึ้นมาอีก 3 กลุ่ม สำหรับธุรกิจกลุ่มแรกได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร “ควิกเทอเรส” ซึ่งเป็นร้านอาหารที่นำจุดเด่นของบริษัท คือ เส้นบะหมี่มาเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ทำเป็นอาหารจานหลักและอาหารทานเล่น ในราคาที่ย่อมเยา สาขาแรกได้ทดลองเปิดข้างหน้าโรงงานไวไว ที่อ้อมใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อน และมีแผนขยายสาขาที่ 2 ในเดือนพฤษภาคมนี้ ที่จังหวัดชลบุรี รวมถึงสาขาใหม่ที่จะเปิดในปีนี้อีก 3-5 สาขาทั้งสาขาที่บริษัทลงทุนเอง และผ่านระบบแฟรนไชส์ บริษัทตั้งเป้าในอีก 3-5 ปี ข้างหน้าจะเปิดร้าน “ควิกเทอเรส” จำนวน 100 สาขาทั่วประเทศ และต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น ส่วนธุรกิจที่ 2 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร โดยจะร่วมมือกับบริษัทที่มีชื่อเสียงในการผลิตผลิตผลทางการเกษตร พัฒนาแปรรูปเป็นผงปรุงรส และเครื่องเทศที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัย ซึ่งสามารถขายในประเทศและต่างประเทศได้ เป็นการต่อยอดใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรของบริษัท และเป็นการส่งเสริมเกษตรกรที่ปลูกพืชผลทางการเกษตรให้มีรายได้ที่ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ธุรกิจกลุ่มที่ 3 จะมุ่งเน้นพัฒนาอาหารอนาคต รองรับแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการอาหารที่กินได้สะดวก รวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับสุขภาพ และความปลอดภัย รวมถึงอาหารต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป สำหรับธุรกิจในกลุ่มนี้ บริษัทมอบหมายให้ นายวีระ นภาพฤกษ์ชาติ กรรมการ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ดูแลธุรกิจในกลุ่มนี้ ซึ่งจะเน้นพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ คำนึงถึงโภชนาการทางอาหารเป็นสิ่งสำคัญ เช่น อาหารเสริมสุขภาพ และอาหารเกษตรอินทรีย์ ส่วนแนวทางการพัฒนาอาหารเสริมสุขภาพ บริษัทได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) รวมถึงสนับสนุนทุนวิจัยให้กับอาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์อาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อพัฒนาสินค้าให้เป็นอาหารที่เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ในการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ มีเป้าหมายเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่มีอาการแพ้สารอาหารบางกลุ่ม อาหารในกลุ่มที่ 3 นี้จะเป็นผลิตภัณฑ์เส้นบะหมี่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ “กลูเตน” รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานที่ไม่ใส่สารกันบูด ตลอดจนบริษัทมีความสนใจมุ่งเน้นจะพัฒนาสินค้าให้ได้รับสัญลักษณ์ “Free Form” ซึ่งสัญลักษณ์นี้ คือ มาตรฐานที่บ่งบอกถึงสินค้าที่ปราศจากสารปรุงแต่งต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทได้เจรจาความร่วมมือกับเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเชิงสุขภาพ และกระบวนการผลิตโดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมกับขยายความร่วมมือไปยังมหาวิทยาลัยและนักวิจัยในเครือข่ายของเมืองนวัตกรรมอาหารอีกไม่น้อยกว่า 16 แห่ง เพื่อนำงานวิจัยที่มีศักยภาพมาต่อยอดสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่มทางเลือกสุขภาพ (Healthy Choice) เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำ และน้ำตาลต่ำ เสริมคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ไฟเบอร์ เพื่อตอบสนองแนวโน้มความต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย และอาหารเฉพาะกลุ่ม นายปรีชา กล่าวว่า บริษัทได้มีการพัฒนาอาหารเกษตรอินทรีย์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในรูปแบบของอาหารพร้อมทาน และเครื่องปรุงรส ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความต้องการอาหารที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติ ไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ และไม่ก่อมลพิษในกระบวนการผลิต จากข้อมูลของสถาบันอาหารกล่าวว่า 50% ของผู้บริโภคให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างว่ามาจากธรรมชาติ และผู้บริโภคมากถึง 30% ยอมจ่ายเงินให้แก่อาหารเกษตรอินทรีย์ ประกอบกับแนวโน้มการบริโภคอาหารเกษตรอินทรีย์ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10% ทั้งในประเทศไทยและกลุ่มประเทศยุโรป อเมริกา จีน และญี่ปุ่น “บริษัทหวังใจว่าธุรกิจใหม่ทั้ง 3 กลุ่ม จะสามารถเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ด้วยแผนการตลาดดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะผลักดันยอดขายทั้งกลุ่มอยู่ที่ 10000 ล้านบาทในอีก 5-10 ปี และเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกจาก 15% เป็น 30%” นายปรีชา กล่าว