กลุ่มผู้นำท้องถิ่น รวมตัวประท้วงไล่ปลัดอำเภอ ออกจากพื้นที่ สร้างเรื่องดิสเครดิต นอภ. ชู นอภ.สู้เยี่ยงวีระบุรุษนาแก เจ้าตัวหลั่งน้ำตา ทำงานด้วยใจ ชี้ตั้งสอบ ดำเนินคดีแล้ว เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24มีนาคม 2562 ณ ที่ว่าการอำเภออำเภอนาแก จ.นครพนม ได้มีกลุ่มพลังมวลชน ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำชุมชนท้องถิ่น นำโดย นายพิมะ แสงมณี นายก อบต.นาคู่ อ.นาแก ในฐานะประธานชมผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อ.นาแก นายไพโรจน์ พิมพ์ขัน ประธานชมรมผู้ใหญ่ บ้าน ร่วม กับ ผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน รวม 12 ตำบล ในพื้นที่ อ.นาแก กว่า 500 คนรวมตัวมาแสดงพลัง เพื่อให้กำลังใจ นายศรี ศรีพุทธรินทร์ นายอำเภอนาแก จ.นครพนม พร้อม ทีมงานข้าราชการ พร้อมมอบดอกไม้ ประกาศจุดยืนที่จะสนับสนุน การทำงานของนายอำเภอ และยืนยันว่า นายอำเภอ มารับตำแหน่ง ประมาณ 5 เดือน ได้ทำงาน เพื่อประโยชน์ พี่น้องประชาชน และประชาชนได้รับประโยชน์ อีกทั้งมีความสัมพันธ์อันดี กับประชาชน เป็นที่รักใคร่ ของประชาชน และแสดงพลัง ให้กำลังใจ สนับสนุน ให้ทำงาน เพื่อชาว อ.นาแก เสมือนวีระบุรุษนาแก ที่เคยสร้างผลงานให้ ชาวองนาแก นอกจากนี้ ยังได้มีการชูป้าย ประท้วง ขับไล่ นายนพดล ศิริ ปลัดหัวหน้างานทะเบียน พึ่งมารับตำแหน่งใหม่ เสนอทางผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ไปยังกระทรวงมหาดไทย ให้ย้ายออกจากพื้นที่ เพื่อลดความขัดแย้ง เนื่องจากก่อนนี้ เกิดความวุ่นวายในพื้นที่ หลังจาก นายนพดล ศิริ ปลัดหัวหน้างานทะเบียน ได้มีการบิดเบือนข้อมูล เพื่อหวังสร้างความขัดแย้ง ดินเครดิต นายอำเภอนาแก ระบุว่า นายอำเภอมีการกระทำผิดกฎหมาย ออกระเบียบคำสั่งมิชอบ เกี่ยวกับการแต่งตั้งตำแหน่ง ปลัดอาวุโส ทำให้ปลัดอำเภอคนดังกล่าวเสียโอกาส ไม่ได้รับการแต่งตั้ง ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นคำสั่งของ กรมการปกครอง รวมถึง คำสั่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ไม่เกี่ยวข้องกับ ทางนายอำเภอ นอกจากนี้ยังได้นำประเด็นการ สร้างสนามยิงปืน กองร้อย อส.อ.นาแก ว่า ขัดต่อกฎหมาย เป็นการบุกรุกพื้นที่สาธารณะประโยชน์ ทั้งที่มีการดำเนินการตามกฎหมายทุกขั้นตอน และได้รับการลงมติจากประชาคมหมู่บ้าน แต่พยายามสร้างเรื่องเอาผิดนายอำเภอนาแก ล่าสุดทางด้าน นายศรี ศรีพุทธรินทร์ นายอำเภอนาแก จ.นครพนม ได้มีการรวบรวมเอกสารหลักฐาน เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อ พนักงานสอบสวน สภ.นาแก เพื่อเอาผิดปลัดอำเภอดังกล่าว เกี่ยวกับฐานความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงฐานความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เนื่องจากมีการนำข้อมูลเป็นเท็จ ไปเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ค สร้างความเสียหาย และทำให้ ประชาชน เข้าใจผิด เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ นอกจากนี้ได้มีการตั้งคระกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเอา ผิดตามขั้นตอน ทำให้กลุ่มพลังมวลชน ผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่ บ้านเกิดความไม่พอใจ เป็นต้นเหตุของการสร้างความขัดแย้งในพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนา จึงต้องการแสดงพลังให้กำลังใจนายอำเภอ และขับไล่ออกจากพื้นที่ ไม่ให้กระทบการพัฒนา และมีการลงรายชื่อร่วมเสนอให้ ทางจังหวัดย้ายปลัดอำเภอออกจากพื้นที่ ภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกัน ทางด้าน นายศรี ศรีพุทธรินทร์ นายอำเภอนาแก จ.นครพนม ได้มาพบปะพูดคุยกับตัวแทน ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน และกล่าวขอบคุณทั้ง น้ำตา และประกาศจุดยืนว่า ในการทำงาน หลังรับตำแหน่งช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ตนได้ทำงานด้วยใจ ไม่มีมีวันหยุด พยายามลงพื้นที่ พบปะชาวบ้าน ร่วมสนับสนุน งานวัฒนธรรมประเพณี และพยายามใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด รวมถึง ขับเคลื่อนการพัฒนาร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากที่สุด และประกาศจุดยืนพร้อมที่จะพัฒนา อ.นาแก ให้มีความเจริญทุกด้าน ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นความไม่พอใจส่วนตัวของบางคน แต่ตนยืนยันทุกอย่าง ตนทำงานด้วยความบริสุทธิ์ ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย หากผิดจริงพร้อมที่จะให้การตรวจสอบ ขอร้องอย่าบิดเบือน สร้างความขัดแย้งส่วนร่วม ทำให้บ้านเมืองขัดแย้ง ไม่ใช่วิสัยนักปกครอง ต้องมาช่วยกันแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม ฝากไปยังทุกคน ขอบคุณที่ให้กำลังใจ และพร้อมที่จะร่วมพัฒนา เพื่อส่วนรวม ส่วนเรื่องระเบียบคำสั่งหรือไม่เคารพกฎหมาย กระทำการที่สร้างความเสื่อเสี่ยให้องค์กร รวมถึง ตน ได้แจ้งความดำเนินคดีแล้ว และตั้งคระกรรมการสอบสวน ตามระเบียบ ด้าน นายพิมะ แสงมณี นายก อบต.นาคู่ อ.นาแก ในฐานะประธานชมผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า วันนี้ตนรวมถึงผู้นำชุมชนท้องถิ่น ได้มาแสดงพลังประกาศจุดยืน สนับสนุนการทำงานนายอำเภอ และยืนยันว่า นายอำเภอ ตั้งแต่มารับตำแหน่ง ได้ ทุ่มเททำงาน เพื่อส่วนรวม ไม่เคยสร้างความขัดแย้งในสังคม และเป็นคนที่เข้าใจ ประชาชน พยายามลงพื้นที่สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชน ตลอด แต่กลุ่มผู้นำท้องถิ่น รับทราบปัญหาการกระทำของปลัดอำเภอดังกล่าวแล้ว รับไม่ได้ เป็นการกระทำที่สร้างปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ ซึ่งอำเภอนาแก ที่ผ่านมา มีแต่ความรักความสามัคคี ไม่เคยขัดแย้ง หากไม่สามารถ ที่จะทำงานในพื้นที่ และคิดแค่ประโยชน์ ส่วนตน ขอให้ย้ายออกจากพื้นที่ เพราะการกระทำดังกล่าวกระทบการพัฒนาภาพรวม ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่สร้างปัญหา และทางผู้นำชุมชนท้องถิ่น รวมถึงชาวบ้าน ไม่ขอรับเข้ามาทำงาน