ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง “สมคิด บุญถนอม” กับพวก อุ้มฆ่า ”โมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ “ ชี้พยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ว่าลงมือกระทำ วันนี้ (22 มี.ค.) เมื่อเวลา 08.45 น. ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ และอดีต ผบช.ภ.5 พร้อมกับพวก รวม 5 คน และทนายความ ได้เดินทางมาศาลเพื่อคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำ อ.119/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ และอดีต ผบช.ภ.5 , พ.ต.อ.สรรักษ์ หรือสมชาย จูสนิท ผกก.สภ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน , พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี , พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และ จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง ตำรวจนอกราชการ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และขอให้ศาลมีคำสั่งคืนแหวนของกลางคืน ให้แก่ทายาทของ นายโมฮัมหมัดอัลรูไวลี่ ด้วย ที่ห้องพิจารณา 712 ซึ่งในคดีนี้ ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาวันที่ 31มี.ค.57 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่า ฝ่ายโจทก์ไม่ได้นำ พ.ต.ท.สุวิชัย แก้วผลึก พยานโจทก์ปากสำคัญเข้าเบิกความต่อศาล มีเพียงบันทึกคำให้การของ พ.ต.ท.สุวิชัย เท่านั้นทั้งยังมีข้อพิรุธน่าสงสัยเกี่ยวกับแหวนทองคำของผู้ตาย พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อพิรุธน่าสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย และต่อมาวันที่ 3 พ.ค.59 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องจำเลย เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการยื่นเบิกความพยานและหลักฐานเป็นพยานหลักฐานเดิมอีกทั้งพยานโจทก์ปากสำคัญ คือ พ.ต.ท.สุวิชัย แก้วผลึก มีการเบิกความกลับไปกลับมาในชั้นพนักงานสอบสวน ไม่อาจรับฟังได้ พยานแวดล้อมไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 2-5 ซึ่งเป็นตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.ท.สมคิด ได้นำตัวนายอัลรูไวลี ผู้เสียชีวิต เข้าไปในโรงแรมฉิมพลีจริง ส่วนแหวนที่อ้างว่าพบใกล้ถังน้ำมันในที่เกิดเหตุ ไม่มีญาติคนใดยืนยันได้ว่าเป็นของผู้เสียชีวิตจริงเเละมีประเด็นต้องสงสัยที่ไม่มีการนำแหวนวงนี้ส่งให้ตำรวจตรวจสอบ แต่ส่งให้ญาติเป็นผู้เก็บรักษา เมื่อถึงเวลาศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันเเล้วเห็นว่า กรณีการให้ถ้อยคำในชั้นสอบสวนปากพ.ต.ท.สุวิชัย แก้วผลึก ซึ่งเป็นผู้ต้องคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรี ในคดีอุ้มฆ่าชาวลาวเเละได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ซึ่งการให้ถ้อยคำทำนองว่าเป็นผู้ทีส่วนรู้เห็นเหตุการณ์เเละขั้นตอนในการสังหารนาย โมฮัมหมัด อัลลูไวลี่ โดยระบุหลักฐานที่อ้างว่าเป็นเเหวนของนายอัลลูไวลี่ที่พบเจอ อยู่ใต้ถังน้ำมันที่เผาศพ เเต่เมื่อพิจารณาเเล้วการให้ถ้อยคำดังกล่าวมีการให้การกลับมาสับสน มีการกล่าวอ้างเเหวนขึ้นมาในภายหลังจากที่ศาลจังหวัดมีนบุรีลงโทษจำคุกพยานปาก พ.ต.ท.สุวิชชัย การให้ถ้อยคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอดังกล่าวจึงเชื่อว่าพยานมีการต่อรองคดี เพื่อให้ช่วยเหลือคดีที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตอีกทั้งในการพิจารณามีพยานปากที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบสภาพเเหวนพบเเต่เพียงว่าเคยถูกใช้งานเเต่ไม่ปรากฎว่าเเหวนดังกล่าวเคยถูกไฟไหม้มาก่อนตามที่พยานกล่าวอ้างว่ามีการพบเเหวนที่ก้นถังน้ำมัน อีกทั้งเมื่อนำเเหวนดังกล่าวมอบให้ญาติของนายอัลลูไวลี่ตรวจสอบก็ไม่มีญาติยืนยันว่าเเหวนดังกล่าวเป็นของนายอัลลูไวลี่จริง การรับฟังพยานต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน้อยรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 5 กระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนยกฟ้อง หลังฟังคำพิพากษา พลตำรวจโท สมคิด จำเลยที่ 1 กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาการต่อสู้คดีนานกว่า 10 ปี ชีวิตราชการถูกกล่าวหามาโดยตลอดว่าฆ่าคนตาย แต่มาในวันนี้ พ้นข้อกล่าวหาแล้ว พร้อมระบุว่า พนักงานสอบสวนของดีเอสไอและอัยการ มีการสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา เพื่อใส่ร้ายพวกตนทั้ง 5 คน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการยื่นฟ้องไปแล้ว สำนวนอยู่ที่ ป.ป.ช. แต่หลังจากนี้จะดำเนินการยื่นฟ้องพนักงานอัยการในคดีนี้เพิ่มเติม