หากเอ่ยสำนวนไทย ก็สามารถกล่าวได้ว่า “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก” เข้าให้แล้ว
สำหรับ ปัญหาเรื่องงบประมาณประจำปีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ประเทศฉายา “พญาอินทรี” มหาอำนาจที่ยังคงรั้งเบอร์ 1 ของโลก ณ ปัจจุบัน
โดยก่อนหน้ามีกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาว่า ให้เพลาๆ การใช้เงินงบประมาณกันลงมาบ้าง หลังมีสถิติตัวเลขระบุว่า ใช้เงินงบประมาณกันจนมือเติบในช่วงที่ผ่านมา กระทั่งทำให้ “หนี้ภาครัฐ” ที่มากมายเป็นดินพอกหางหมูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพิ่มพูนมากเป็นประวัติการณ์ คือ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยตัวเลขเม็ดเงินของจำนวนหนี้ถึง 22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
พลันที่ถูกวิจารณ์กันอย่างหนัก กอปรกับได้เห็นตัวเลขจำนวนหนี้ข้างต้น ก็ถึงขนาดทำเอา “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ส่งสัญญาณท่าทีว่าจะปรับลดงบประมาณประจำปี 2020 (พ.ศ. 2563) ลงร้อยละ 5 หรือราว 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ไม่กระทบกระเทือนต่องบประมาณด้านกลาโหม
ทว่า ล่าสุด นอกจากจะไม่กระทบกระเทือน แต่มิหนำซ้ำยังอาจต้องเพิ่มการอัดงบประมาณเข้าไปในด้านกลาโหมของประเทศกันอีกต่างหาก
เมื่อปรากฏว่า “กระทรวงกลาโหม” หรือ “เพนตากอน” โดย “นายแพทริก เอ็ม. ชานาฮาน” ซึ่งดำรงตำแหน่ง “รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เปิดเผยถึงร่างงบประมาณสำหรับไว้ใช้ในเพนตากอนของปีหน้า คือ 2020 (พ.ศ. 2563)
โดยนายชานาฮาน ซึ่งเคยบริหารงานใน “โบอิง” บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมอากาศยานมา ระบุว่า ร่างงบประมาณประจำปี 2020 ของเพนตากอน จะมีจำนวนตัวเลขเม็ดเงินอยู่ที่ 7.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าปี 2019 คือ ปีนี้ที่มีจำนวน 7.16 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 5 สำหรับงบประมาณปีหน้าที่จะมากขึ้นกว่าของปีนี้
ทั้งนี้ เม็ดเงินของงบประมาณจำนวนดังกล่าว ก็ต้องถือว่า มากที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งในสหรัฐฯ และประวัติศาสตร์อีกต่างหากด้วย คือ ไม่มีชาติใดจะอุดหนุนงบประมาณกลาโหม มากมายมหาศาลกันเยี่ยงนี้อีกแล้ว
รักษาการบอสใหญ่แห่งเพนตากอน ยังแจกแจงในรายละเอียดของจำนวนงบประมาณดังกล่าว ที่จะผันไปใช้ในด้านต่างๆ ด้วยว่า จะนำไปใช้ด้านการศึกษาวิจัยอาวุธยุทโธปกรณ์รุ่นใหม่ๆ ระดับ “เทคโนโลยีในเจเนอเรชันถัดไป” แบบ “ล้ำสมัยเกินยุค” กันอย่างขนานใหญ่ โดยมีตัวเลขสูงถึง 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว
แบ่งเป็นการศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนา “อาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียง” หรือ “ไฮเปอร์โซนิก เวพเพินรี (Hypersonic Weaponry)” เช่น ขีปนาวุธที่มีศักยภาพการยิงโจมตีเป้าหมายด้วยความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic Missile) เป็นต้น ด้วยจำนวน 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนาอาวุธและยานรบชนิดต่างๆ แบบไร้มนุษย์ เช่น อากาศยานไร้คนขับ หรือเครื่องบินโดรน และเรือดำน้ำไร้คนขับ หรือโดรนเรือดำน้ำ เป็นต้น ซึ่งเพนตากอน จะอัดงบประมาณไปให้จำนวนถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และการศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนา ด้าน “หุ่นยนต์” หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือที่หลายคนเรียกว่า “เอไอ” ทางการทหาร ซึ่งเพนตากอน ตั้งแผนงบประมาณไว้ที่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ ยังมีแจกแจงแยกย่อยออกเป็นเหล่าทัพต่างๆ โดยนายชานาฮาน บอกว่า “กองทัพเรือ” ซึ่งถือว่า ใหญ่ที่สุดในหมู่กองทัพของสหรัฐฯ จะเน้นการพัฒนาด้านยานรบไร้คนขับ คือ โดรนชนิดต่างๆ มาประจำการยานรบที่คนบังคับอันล้าสมัย
ส่วน “กองทัพบก” พัฒนาด้านยานรบต่างๆ รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ เป็น “เขี้ยวเล็บ” ที่สำคัญ
ขณะที่ “กองทัพอากาศ” นอกจากพัฒนาอากาศยานรบอันสุดล้ำสมัยแล้ว ก็ยังจะสถาปนา “เหล่าทัพอวกาศ” ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงสารพัดมาขับเคลื่อนเกองทัพให้ทรงพลานุภาพกันต่อไปด้วย
พร้อมกันนี้ ทางรักษาการบอสใหญ่แห่งเพนตากอน ยังระบุทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดทั้งปวงข้างต้น ก็จะถือเป็นการศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนาด้านการทหารของสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 70 ปี เลยทีเดียว เพื่อให้ประเทศดำรงคงความเป็นอภิมหาอำนาจแถวหน้าของโลกต่อไป ท่ามกลางความท้าทายจากชาติคู่แข่งอย่าง รัสเซีย และจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้นไปลำดับ
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่านายชานาฮาน จะเดินหน้าขับเคลื่อนแผนการที่วางไว้ได้ง่ายดังหวัง เพราะเขาจะต้องยื่นญัตติร่างงบประมาณกลาโหม ที่มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ข้างต้น ต่อรัฐสภา หรือสภาคองเกรสได้ประชุมพิจารณาอนุมัติ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ไม่ง่ายในชั่วโมงนี้ ที่พลพรรคเดโมแครต ฝ่ายตรงข้ามครองเสียงข้างมากในสภา แต่ไม่ว่าจะเป็นไปอย่างไร โลกก็ได้เห็นการพัฒนากองทัพนับจากนี้แล้วว่า จะมุ่งไปในทิศทางใด ที่บรรดาประเทศต่างๆ ก็ต้องพึงตระหนักว่า พัฒนากองทัพกันแบบเดิมๆ คงมิได้อีกต่อไปแล้ว