13 มี.ค.62 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เปิดเผยถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ วิสามัญคนร้ายที่พยายามใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจขณะเข้าทำการจับกุมในเขตนที่ สภ.คำเขื่อนแก้ว ภ.จว.ยโสธร ว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม เวลาประมาณ 19.00 น. ได้รับว่า มีเหตุคนร้ายตามหมายจับคดีฆ่าผู้อื่น หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตามถนนแจ้งสนิทจากทาง จังหวัดอุบลราชธานี เข้ามาในเขต พื้นที่ สภ.คำเขื่อนแก้ว ภ.จว.ยโสธร โดยคนร้ายมีอาวุธปืนติดตัว เดินทางมาถึงทางหลวงหมายเลข 23 (ถนนแจ้งสนิท)บริเวณใกล้สี่แยกประชาร่วมใจ ต.ลุมพุก อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร ได้ใช้อาวุธจี้บังคับเอารถยนต์ของผู้ขับขี่ที่กำลังติดไฟแดงอยู่เพื่อจะหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าทำการจับกุม คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนต่อสู้ขัดขวาง จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน เป็นเหตุให้คนร้ายถึงแก่ความตาย เบื้องต้นพนักงานสอบสวนตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตอยู่ในรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนด์/เทา ทะเบียน ฒฎ 5712 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ราย ทราบชื่อภายหลัง นายสมศักดิ์ หรือโอ เล็ดลอด อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ จ.186/2562 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2562 ในความผิดฐาน “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย”ตามคดีอาญาของ สภ.บางเสาธง ภ.จว.สมุทรปราการ พนักงานสอบสวนจึงได้ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุร่วมกับสหวิชาชีพ พนักงานอัยการ ปลัดอำเภอ แพทย์ และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ร่วมกันทำการตรวจชันสูตรพลิกศพ พร้อมยึดอาวุธปืนพก ขนาด .38 ของผู้ตาย เพื่อดำเนินตามกฎหมายต่อไป พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า การวิสามัญคนร้ายดังกล่าวเป็นการกระทำไปตามหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นในคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนการสอบสวนแบ่งเป็น 4 สำนวน คือ สำนวนคดีร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งผู้ตายตกเป็นผู้ต้องหา , สำนวนคดีชันสูตรพลิกศพของผู้ต้องหาที่ตาย , สำนวนคดีต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติการตามหน้าที่ของคนร้ายฯ และ สำนวนคดีฆ่าผู้อื่นโดยอ้างเหตุป้องกันจากการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้วิสามัญผู้ตายซึ่งเป็นคนร้ายฯ (วิสามัญ) ซึ่งพนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน รอผลการตรวจพิสูจน์ที่เกี่ยวข้องมาประกอบคดี และจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนภายในระยะเวลาตามกรอบกฎหมายได้กำหนด จากนั้นจะทำความเห็นทางคดีส่งสำนวนการสอบสวนตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมีความเสี่ยงลักษณะนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมา ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโดยตลอด ให้ยึดหลักตามยุทธวิธีตำรวจ ที่ได้ผ่านการฝึก อบรม ทบทวน ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด , การตรวจค้นบุคคล-ยานพาหนะ , การจับกุม ประกอบกับการตัดสินใจใช้อาวุธปืนในภาวะวิกฤติ ตามที่ได้รับการฝึกหัดทักษะในวิชาชีพตำรวจ มาปรับใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมหมั่นฝึกทบทวนอยู่เป็นประจำ เพื่อให้เกิดความเคยชิน ลดการสูญเสีย โดยจะต้องยึดหลัก กระทำการตามอำนาจหน้าที่อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และใช้หลักยุทธวิธีตำรวจควบคู่กันไป ทำงานด้วยความรอบครอบ รวดเร็ว และให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย โดยอาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงทางคดีเป็นสำคัญ