เรื่อง/ภาพ : วัชระ บุญแท้ ศูนย์ข่าวภูมิภาค พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่เคยแบ่งเขตการเลือกตั้งจาก 5 เขต ฐานเสียงหลายปีที่ผ่านมา “พรรคเพื่อไทย” คือแชมป์เก่า ครองความนิยมเสียส่วนใหญ่ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.)ได้จัดการแบ่งเขตให้เหลือเพียงแค่ 4 เขต นั้นทำให้ผู้สมัครต่างๆต้องออกจากพรรคเพื่อไทย ย้ายไปอยู่พรรคอื่นกันเป็นจำนวนมาก บางเขต ถึงฐานคะแนนเดียวกันก็ต้องสู้กันอย่างยอมกันไม่ได้ นับถอยหลังอีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงวันเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ คือวันที่ 24 มีนาคม 2562 นี้บรรดาแกนนำ และกุนซือ ผู้บริหารของแต่ละพรรคต่างวิ่งรอกออกต่าจังหวัด เพื่อช่วยลูกพรรคหาเสียงกันอย่างคึกคัก เรียกว่าภายในหนึ่งวันเดินสายกันแบบขาขวิดกันเลยทีเดียว สำหรับจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นมี 4 เขต ในส่วนของเขตเลือกตั้งที่1 ประกอบด้วย อำเภอพระนครศรีอยุธยา อ.อุทัย โดยมีผู้สมัคร 27 คน แต่ที่หน้าจับตามองโดยเฉพาะคู่เอก ระหว่าง พรรคเพื่อไทย ที่ส่ง “สุรเชษฐ์ ชัยโกศล” ซึ่งคร่ำหวอดกับการเมืองมาช้านานเดินสายช่วยเหลือชาวบ้านมาโดยตลอด งานนี้หวังลุ้นเข้านั่งในสภาฯอย่างแน่นอน แต่ต้องมาเจอศึกอันใหญ่หลวงชนกับพรรคภูมิใจไทย ที่ส่ง “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” อดีต ส.ส.พระนครศรีอยุธยาหลายสมัย มีฐานคะแนนแน่นปึ๊ก แนะนำว่าเขตนี้ห้ามกระพริบตา มาที่ เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ อำเภอท่าเรือ อ.นครหลวง อ.ภาชี อ.บางปะหัน อ.มหาราช และอ.บ้านแพรก มีผู้สมัคร 27 คน งานนี้ใครพลาดถูกแซงแน่นอนระหว่าง “กุมพล สภาวสุ” จากพรรคภูมิใจไทย หมายมั่นปั้นมือว่าต้องได้มาที่ 1 ซึ่งเคยเป็นอดีต ส.ส.มาแล้วเป็นที่รู้จักกับชาวบ้านมาแสนนาน แต่งานนี้ก็ใช่ว่าจะสบายเมื่อต้องมาเจอกับเด็กหนุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง “นพ ชีวานันท์” ลงในนามพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นลูกรักของ “พ้อง ชีวานันท์” ซึ่งเป็นอดีตส.ส.เขต 2 มาช้านานฐานคะแนนเสียงนี้รับรองได้ว่ายังคงเหนียวแน่นอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ต้องไม่ประมาท เพราะถ้า “ชาตรี อยู่ประเสริฐ” ลงในนามพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอดีตเป็นรองนาย อบจ.พระนครศรีอยุธยาเก่าที่สามารถจะแซงทางโค้งหรือทางตรงได้ตลอดเวลา สำหรับเขตเลือกตั้งที่ 3 ประกอบด้วย อ.บางปะอิน อ.วังน้อย และอ.บางไทรเขตนี้ นับว่าถ้าเป็นมวยก็ถือว่าเป็นมวยคู่พิเศษ ถ้าเป็นศึกรบก็ต้องเป็นแบบ “ช้างชนช้าง” ซึ่งช้างทั้ง 2 เชือกนี้เคยเป็นสายเลือดพรรคเพื่อไทยทั้งคู่ ที่มี สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล หรือ “ส.ส.เอ” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ สมทรง พันธ์เจริญวรกุล หรือ “ซ้อสมทรง” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หญิงแกร่งแห่งเมืองกรุงเก่า ที่ใครต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีฐานคะแนนไม่ต้องพูดถึง จึงได้กล้าหาญลงแข่งกับรุ่นพี่อย่าง “วิทยา บุรณศิริ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และยังเป็นกลุ่มแกนนำของพรรคเพื่อไทยในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้งคู่เมื่อตอนอยู่พรรคเดียวกันก็ช่วยกันหาเสียง ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดเวลา แต่บัดนี้วันเวลาเปลี่ยนไป ต้องลงแข่งขันกันเอง เรียกได้ว่าหากเป็นมวยก็รุ่นน้องท้าชกกับรุ่นพี่ ที่มีดีกรีแชมป์หลายสมัย และรุ่นพี่อย่าง วิทยา เจ้าของแชมป์ก็ต้องป้องกันแชมป์นี้ไว้ให้ได้ ถือว่าศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดา คนที่จะเอาชนะเรียกได้นั้นต้องบอกว่าหืดขึ้นคอกันเลยทีเดียว เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีเมื่อขึ้นบนเวทีแล้วก็ต้องชกกันให้ครบยก ไม่มีใครยอมใครแน่นอน แถมยังต้องแข่งกับการโดนตัดคะแนนเสียงจากคู่ต่อสู้จากพรรคอื่นอีกหลายสิบพรรค งานนี้หากวิทยา เข้าวินชนะการเลือกตั้งก็ถือว่าเป็นการรักษาแชมป์เก่าให้กับพรรคเพื่อไทยได้ แต่หาก สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล ได้รับชัยชนะไปตามความคาดหมายของพรรคภูมิใจไทยได้ นี่สิเป็นเรื่องใหญ่จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามหลังมาอย่างแน่นอน และเขตสุดท้ายเขตเลือกตั้งที่ 4 ได้แก่ อ.ลาดบัวหลวง อ.บางซ้าย อ.เสนา อ.ผักไห่ และอ.บางบาล มีผู้สมัคร 28 คน เขตนี้ชาวบ้านรู้จักกันเป็นอย่างดีคือ องอาจ วชิรพงษ์ หรือ”เฮียอ๋า” อดีตอยู่พรรคเพื่อไทย แต่มีเหตุบางอย่างจึงต้องมาร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีฐานคะแนนเก่ามาอย่างเนืองแน่นก็หวังที่จะเข้าวิน อย่างแน่นอน แต่ก็จะประมาทไม่ได้เมื่อต้องมาเจอกับผู้สมัครที่เป็นเด็กหนุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรง และเป็นเจ้าของบริษัท logistic อย่าง “ศิวะพันธ์ จันทาวุฒิ” ลูกชายสุดรักของ ร.ต.ท.ประสบศักดิ์ จันทาวุฒิ นายตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.พระนครศรีอยุธยา ที่พรรคภูมิใจไทย หมายมั่นปั้นมือให้ลงชิงตำแหน่งว่าที่ส.ส.ครั้งแรกกับอดีตส.ส.ในพื้นที่งานนี้วัดกันด้วยฝีมือกันล้วนๆ ก็รู้ว่าใครจะหมู่หรือจ่า !