คนข้างวัด/อุทัย บุญเย็น มี 2 ข่าวที่เผยแพร่กันทางโซเชียลมีเดีย (หรือทางมือถือ) คือ ข่าวจังหวัดบึงกาฬ (จังหวัดสุดท้ายที่แตกออกไปจากหนองคาย) ประกาศเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำจังหวัด เนื้อข่าวรายงานดังนี้ "ทั่วโลกตะลึง เมื่อ "บึงกาฬ" ประกาศ "พุทธโมเดล" ขอสถาปนาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำจังหวัด เป็นจังหวัดแรกของประเทศ (ถ้าทุกจังหวัดในประเทศไทยประกาศตามบึงกาฬ พุทธศาสนาจะกลายเป็นศาสนาประจำชาติไทยไปโดยปริยาย มิใช่มีแต่ในทะเบียนบ้าน นี่เป็นความกล้าหาญที่เกินคาดคิดของคนบึงกาฬ ทำถูกต้องแล้วและชอบธรรมแล้ว" ภาษาของแนวข่าวทางโซเชียลมักจะแสดงความเห็นของผู้รายงานข่าวด้วยอย่างนี้ ซึ่งแตกต่างจากแนวข่าวกระแสหลัก (ทางวิทยุ ทีวี และน.ส.พ.) ข่าวรายงานต่อไปว่า "เมื่อมีก้าวที่หนึ่ง ควรต้องมีก้าวที่สอง เมื่อมีจังหวัดที่หนึ่งก็ควรจะมีจังหวัดที่สอง แล้วจะมีจังหวัดใดกล้าหาญแบบบึงกาฬบ้างล่ะ ณ ที่นี่ สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกย่องจังหวัดบึงกาฬให้เป็นเมืองหลวงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย และเป็น "พุทธโมเดล" ที่ทุกจังหวัดควรกระทำตาม แต่จะมีผู้นำสักกี่จังหวัดที่หาญกล้าแบบนี้คงต้องอดใจรอต่อไป...สาธุ คุณพระคุณเจ้าขอให้จังหวัดของข้าพเจ้าเป็นจังหวัดต่อไปที่ประกาศด้วยเถิด ในข่าว กล่าวต่อไปว่า "ไม่อยากเป็นจังหวัดสุดท้าย เพราะอับอายบรรพบุรุษที่ยอมสละชีพเพื่อรักษาชาติไทยและพุทธศาสนาไว้ให้ลุกหลานไม่รู้กี่ล้านชีวิตมาแล้ว..." อีกข่าวหนึ่งจากเมืองจีน (ของลีจิ้นผิง) รายงานว่า "พระไตรปิฎกของโลกมี 3 อักษร 3 คัมภีร์ ที่บันทึก นิกายเถรวาท จดบันทึกด้วยภาษาบาลีหรือภาษามคธ นิกายวัชรยาน จดบันทึกด้วยภาษาสันสกฤตและภาษาทิเบต นิกายมหายาน จดบันทึกด้วยภาษาจีนโดยพระถังซำจั๋ง ที่เหลือจากค้นบันทึกนอกนั้น ก็ต้องไปคัดลอกมาเพื่อแปลเป็นภาษาของตนแต่ละประเทศ จะเลือกนับถือนิกายไหนก็คัดลอกมาแปลเป็นภาษาของตน เรื่องนี้ ส่งภาพ (เคลื่อนไหว) มาให้ดูประกอบด้วย บอกว่า "ที่เห็นในคลิปนี้เป็นการจดบันทึกทางประเทศจีน จะว่าไปแล้วดูเหมือนจะมีความสมบูรณ์ที่สุด ของพระถังซำจั๋ง มีหลายผูกเหลือเกิน ที่ขนไปด้วยขบวนม้าขาวและทหารมหาดเล็กทางอินเดียซึ่งส่งไปช่วยเหลือการขนพระคัมภีร์จากอินเดียสู่จีนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่าง พ.ศ.1200นี้" เรื่องนี้มีรายงานอีกว่า "กองทัพมุสลีมเริ่มบุกถึงอินเดีย ทางอัฟกานิสถาน" สรุปว่า การขนพระคัมภีร์ของพระถังซำจั๋งครั้งนั้น สวนทางกันหวุดหวิดกับกองทัพมุสลิมที่บุกถึงใจกลางอินเดีย แผ่นทองคำในคลิปที่เขาส่งให้ดูเป็นทองคำแท้ แสดงว่าจีนเลิกใสและภาคภูมิในพระคัมภีร์อย่างยิ่ง มีรายงานทางโซเชียลเกี่ยวกับพุทธศาสนาในประเทศจีนว่า ปัจจุบันจีน (ในยุคของท่านประธานฯ ลีจิ้นผิง) พุทธศาสนานิกายมหายานรุ่งเรืองในจีนอย่างยิ่ง ตัวเลขที่น่าสนใจคือ ชาวพุทธในจีนแผ่นดินใหญ่ปัจจุบัน 80% นับถือพุทธนิกายมหายานผสมกับลัทธิเต๋าและขงจื้อ 20% นับถือพุทธนิกายเถรวาท เมื่อพุทธรุ่งเรืองในจีน ปัจจุบัน ชาวพุทธทั่วโลกจึงเพิ่มจำนวนเป็นอันดับสองของโลก (ชาวพุทธจีนทั้งสินประมาณ 1,400,000คน) น่าสังเกตว่า จีน (นิกายมหายาน) มีภิกษุณีถึง 80,000รูป มีวัดประมาณ 60,000วัด ในขณะที่ทางประเทศอินเดียกับประเทศปากีสถานกำลังรบพุ่งกันอยู่ระหว่างชาวฮินดู (อินเดีย) กับชาวมุสลิม (ปากีสถาน) ทำให้นึกปะติดปะต่อเรื่องราวทางศาสนาในประเทศไทยด้วยความวิตกกังวลอยู่เงียบๆ ระหว่างนี้ มีคนไทยเป็นจำนวนไม่น้อยกำลังครุ่นคิดเรื่องอยากาจะให้มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของไทย แต่ก็คงได้แต่คิด เพราะมีเสียงชาวพุทธเองจำนวนไม่น้อยเช่นกันมีความเห็นคัดค้านอยู่ เพราะเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอยู่แล้วโดยพฤตินัย เกรงว่า การบัญญัติศาสนาประจำชาติจะนำมาซึ่งความแตกแยก ในขณะเดียวกัน ก็มีบางศาสนาแสดงพฤติการณ์ในทางรุกในหลายๆ ด้าน อย่างน่าสังเกต ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศหวาดระแวงอยู่ เช่นมีการก่อเหตุไม่สงบอยู่เป็นระยะๆ ไม่ประพฤติตนตามคำสอนของศาสนา มีการทำร้ายถึงแก่ชีวิตซึ่งกันและกันอยู่บ่อยๆ และบุคคลระดับผู้นำทางศาสนาก็ดูเหมือนจะมีพฤติการณ์รุกคืบขยายอิทธิพลทางศาสนาอยู่ไม่หยุดหย่อน จนไม่น่าไว้วางใจ ทั้งๆ ที่ประกาศหลักการ "พหุวัฒนธรรม" ในการอยู่ร่วมกันตลอดเวลา หนักเข้าก็รุกคืบด้วยการตั้งพรรคการเมืองเพื่อมีบทบาทด้านการปกครองอยู่ในขณะนี้ อันที่จริง วัฒนธรรมตะวันออกเป็น "พหุวัฒนธรรม" ตลอดมา คืออยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขท่ามกลางความคิดความเชื่ออันแตกต่างหลากหลาย ว่าไปแล้ว วัฒนธรรมตะวันตกนั่นแหละมาแบ่งแยกให้เราถือศาสนาต่างกัน เมื่อก่อนอินเดียเป็นผืนแผ่นดินใหญ่เรียกว่า "ชมพูทวีป" เป็นแผ่นดินเดียว เมื่อตะวันตกเข้ามาครอบครองก็นำแบบแผนเข้ามาจัดการแบ่งซอยแผ่นดินเป็นหลายประเทศ ชมพูทวีปถูกแบ่งซอยเป็น ประเทศปากีสถาน บังคลาเทศ อัฟกานิสถาน ฯลฯ ตามความแตกต่างทางความคิดความเชื่อ (ซึ่งต่อมาเรียกว่า "ศาสนา") แต่เดิม ตะวันตกก็หวังครอบครองประเทศต่างๆ ด้วยศาสนาของตนเพียงศาสนาเดียว เช่น ประเทศศรีลังกา ก็เกือบจะเป็นประเทศที่ถือศาสนาของตะวันตก แต่เมื่อทำไม่สำเร็จก็แบ่งแยกด้วย "ศาสนา" ของท้องถิ่นจนได้ส ทำให้ศรีลังกาก่อศึกสงครามระหว่างคนถือศาสนาต่างกันอยู่เป็นระยะๆ จนทุกวันนี้ ด้วยวิธีของวัฒนธรรมตะวันตก (ซึ่งเป็นเจ้าของหลักการ "พหุวัฒนธรรม") นั่นเอง เมื่อเกิดศาสนาใหม่ (ประมาณ ค.ศ.600 เศษ) จึงนิยมวิธีรุกรานประเทศอื่นๆ ด้วยกองกำลังการรบพุ่ง ทำให้พหุวัฒนธรรมในชมพูทวีปแตกกระจัดกระจาย ไม่เหมือนก่อน กล่าวเฉพาะประเทศไทย ยิ่งเห็นได้ชัด มีความพยายามอย่างยิ่งของตะวันตกที่จะครอบครองไทยด้วยศาสนาของเขา แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะศาสนเองป้องกันตนเองไว้ (ทั้งนี้ ด้วยพระราชอำนาจเป็นเรี่ยวแรงสำคัญ) การป้องกันตนเองของศาสนา น่าจะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของชาวตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นคนชมพูทวีป คนจีน และคนในภาคพื้นเอเชียอื่นๆ ธรรมชาติดังว่านี้ฝังลึกอยู่ในสายเลือด หลักการพหุวัฒนธรรม เป็นหลักการโดยธรรมชาติของมนุษย์เป็นหลักการการอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีความคิดความเชื่อต่างกันก็ตาม สังเกตเห็นได้ว่า ชาวมุสลิมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและแถวเขตหนองจอก กรุงเทพฯ ก็อยู่กันด้วยพหุวัฒนธรรมมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมจึงแตกต่างจากชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อดคิดไม่ได้ว่า เกิดจากแนวคิดของผู้นำทางศาสนาที่ไม่ยึดมั่นในพหุวัฒนธรรมนั่นเอง เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของผู้นำทางศาสนาที่อาศัยการเมืองเป็นทางรุกคืบ จึงรู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งเมื่อได้ข่าวว่า มีความพยายามของคนในพื้นที่ที่ชักชวนกันประกาศมีศาสนาประจำจังหวัด ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ แสดงว่า หลักการแห่งพหุวัฒนธรรมจะไม่เป็นที่เข้าใจอย่างทั่วถึงกัน เท่าที่รู้สึกได้ ผมเห็นว่า ความคิดของชาวพุทธทั่วไป นับวันจะคุ้มครองตัวเองไม่ได้ เมื่อคิดว่า จะให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็คิดได้แค่ว่า จะให้บ้านเมืองเป็นเมืองพุทธ แต่คิดไม่ได้ว่า จะให้เมืองพุทธของตนมีสภาพที่ดีขึ้นอย่างไร เกรงว่า เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็จะคิดแต่ทางออกไปในทางการเบียดเบียนกัน อย่างที่กำลังเป็นไปในประเทศอินเดียและปากีสถานนั่น เห็นความคิดในทางแตกแยกของนักการเมืองแล้วก็ออกจะท้อใจวันนี้จึงส่งภาพพระสงฆ์กำลังรับบิณฑบาติที่กาฬทวีปมาให้ความหวังไปพลางก่อน ไม่อยากจะให้ท้อใจต่อสภาพที่เป็นอยู่ แม้ข่าวจากบึงกาฬ จะยังเลื่อนลอย และข่าวจากเมืองจีนจะยังไม่ชัด แต่ให้มีความหวังว่า พุทธศาสนายังเป็นที่พึ่งทางใจเสมอ อย่างที่ "กิ๊ก" มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ ดาราละครทีวี ได้ประจักษ์กับตัวเองเมื่อไปบวชชีปฏิบัติธรรมที่พม่านั่นไง!