เกมที่ดีที่สุด คือการเล่นในสนามที่ตัวเองยากจะพ่ายแพ้ ต้องเป็นเกมที่เราสามารถคอนโทรลทุกสิ่งทุกอย่างในมือให้ได้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะพบว่า เหตุใดแผนการดึง “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้มาร่วมวงดีเบตกับ “แคนดิเดต” ผู้ท้าชิงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” จากพรรคการเมืองต่างๆ จึงกลายเป็นเรื่องที่ไร้ผล ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางใดทางหนึ่ง ต่อคสช.และตัวพล.อ.ประยุทธ์ ได้อย่างจริงจัง มิหนำซ้ำ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเลือกที่จะ “ปิดฉาก” ด้วยการบอกว่า จะไม่มาร่วมดีเบตเพราะไม่อยากประดิดประดอยคำพูด หมายความว่า เสียงท้าทายที่ดังเซ็งแซ่หน้าประตูเมืองจากข้าศึก ไม่ทำให้บิ๊กตู่ หวั่นไหว ยอมหันไปเล่นในเกมที่ “คนอื่น” เป็นฝ่ายกำหนด ภารกิจสำคัญที่คสช.เองรู้ดีว่า เป็นเรื่องเร่งด่วนและต้องบริหารจัดการให้ทุกอย่างเดินหน้าไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีการ “ผิดแผน” นั่นคือการเฟ้นหา “250 สมาชิกวุฒิสภา” เพื่อให้มาทำหน้าที่เป็นเสมือน “ฐานอำนาจ”ของคสช. และที่สำคัญไปกว่านั้น การมี 250 สว.ยังเป็นเหมือน “แต้มต่อ” ที่จะเป็นเครื่องชี้ขาดถึงชัยชนะของ คสช.อย่างแท้จริง เมื่อ 250 ส.ว.คือกลไกที่จะทำหน้าที่เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 หลังการเลือกตั้งจบลง เมื่อ 250 ส.ว. คือแต้มต่อ ขุมกำลังที่จะทำให้ “พรรคพลังประชารัฐ” อยู่ในจุดที่ได้เปรียบเหนือพรรคการเมืองคู่แข่ง โดยปริยาย ขณะที่บรรดา “ขุนพล” พรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่ต่อสู้ในสังเวียนสนามเลือกตั้ง นำเสนอนโยบาย โปรโมท พล.อ.ประยุทธ์ ขอโอกาสให้เขาได้กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง หากประชาชนต้องการเห็น “ความสงบเรียบร้อย” เกิดขึ้นในบ้านเมือง ปรากฎว่าในเวลาเดียวกัน “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับบทสำคัญในฐานะ ประธานคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา แน่นอนว่าตำแหน่งผู้เล่นของบิ๊กป้อม ที่ลงมานั่งหัวโต๊ะสรรหา ส.ว. ย่อมมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากคณะกรรมการสรรรหาฯ ชุดดังกล่าวซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดย คสช. จะทำหน้าที่สรรหา ส.ว. 400 รายชื่อ และเสนอให้ คสช. คัดเลือกเหลือ “194 คน” ทั้งนี้คณะกรรมการสรรหาฯชุดนี้ต้องคัดให้แล้วเสร็จ 15 วันก่อนวันเลือกตั้ง หมายความว่าก่อนวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.นี้ “โฉมหน้า” ของ ส.ว.ที่จะทำคลอดโดยคณะกรรมการฯชุดที่มีบิ๊กป้อม เป็นประธาน จะปรากฎขึ้นชัดเจน ทั้งนี้ ส.ว.250 คนครั้งนี้นับเป็นการได้มาซึ่งสว.ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยจะมาด้วยกัน 3 ทาง ทางแรกคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) จัดให้มีการเลือกระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และประดับประเทศ จาก 10 กลุ่มอาชีพ จากนั้นคัดให้เหลือ 200 คน เสนอรายชื่อให้คสช.คัดเลือกเหลือ 50 คน ขึ้นบัญชีสำรองอีก 50 คน ทางที่สอง คือ 194 ส.ว.ที่จะมาจากการสรรหาจากคณะกรรมการฯที่มีพล.อ.ประวิตร เป็นประธาน และทางที่สาม คือ ส.ว.ที่เป็นโดยตำแหน่ง 6 คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ นับตั้งแต่มีการส่งสัญญาณ นับหนึ่งมีชื่อพล.อ.ประวิตร เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาฯ ได้ทำให้บรรดาพรรคการเมือง พากันจับตามองมากเป็นพิเศษ ด้วยทางหนึ่ง ย่อมประเมินว่าที่สุดแล้ว “ความแนบแน่น”ระหว่าง “พี่ป้อม-น้องตู่” นั้นเข้มแข็งเพียงใด ในยามที่สถานการณ์ทางการเมืองเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เพราะการได้บิ๊กป้อม มานั่งเป็นประธานคณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ย่อมสะท้อนได้ว่า 194 ส.ว. นั้น คสช.จะต้อง “คุมอยู่” ด้วยบารมีของ “พี่ใหญ่” ในการเลือกตั้งครั้งนี้แน่นอนว่าโอกาสที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะสามารถกวาดที่นั่ง ส.ส.ได้มากเป็นพรรคอันดับหนึ่ง จนกลายเป็นรัฐบาลพรรคเดียวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ได้ดีไซน์เอาไว้แล้วว่าหลังการเลือกตั้งจะเกิด “รัฐบาลผสม” ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ จะถูกทำลายลงด้วยกติกาใหม่ที่ถูกออกแบบเอาไว้ และที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือสถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ พรรคการเมืองในมือของ คสช.เอง ก็มีความชัดเจนว่าจะไม่สามารถกวาดที่นั่ง ส.ส.ได้ชนิดถล่มทลาย เหมือนเมื่อครั้งที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำพรรคไทยรักไทยมีชัยเหนือทุกพรรคการเมืองมาแล้วในอดีต การได้มาซึ่ง “250 ส.ว.”กลายเป็น “จุดแข็ง” ที่สร้างความได้เปรียบ เหนือคู่แข่ง เอาไว้ล่วงหน้า เพราะขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเพื่อไทย เองต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวให้รอดจากสนามเลือกตั้ง พาส.ส.เข้าสภาผู้แทนราษฎรให้ได้มากที่สุด แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐ แล้วอาจเหนื่อยน้อยกว่าหลายเท่านัก ด้วยเพราะมี 250 ส.ว.เป็น “ขุมอำนาจ” สำรองเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อทำหน้าที่กรุยทาง ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กลับมาเป็นนายกฯรอบสอง ทั้งนี้ มีรายงานความเคลื่อนไหวของการเฟ้นหา คัดสรร 250 สว. ว่าในความเป็นจริงแล้ว มีนักการเมืองหลายคนที่ระบุถึงขั้นที่ว่า เวลานี้มีบางคน บางกลุ่มรู้ตัว และเตรียมตัวที่จะเข้ามานั่งสว.กันแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งบางคนก็ได้ส่งคนในครอบครัว เข้ามาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ให้ลงสมัครในระบบเขตเลือกตั้งกันเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อ "ผูกเสียง" เมื่อเกมการต่อสู้ของคสช.ได้ถูกกำหนด เขียนบทเริ่มต้นไปจนถึงฉากจบกันเอาไว้ตั้งแต่วันยึดอำนาจ ในปี2557เอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงหมายความว่าทุกจุดอ่อน ทุกช่องโหว่ มีแต่จะต้อง “อุดรอยรั่ว” ไปพร้อมๆกับการเสริมแนวรบ สร้างความได้เปรียบเพื่อไม่ให้ทุกอย่างที่ทำมาต้อง “เสียของ” นั่นเอง !