เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 26 ก.พ. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.สันติ ไชยนิรามัย รองผบก.ป. พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ก่อเกียรติ วุฒิจำนงค์ พ.ต.ต.เจตนิพัทธ์ ศิริวัฒน์ สว.กก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีสำคัญ 2 คดี แบ่งเป็นคดีความผิดต่อชีวิต 1 คดี และ คดีทางเพศอีก 1 คดี รวมจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมดจำนวน 2 คน
โดยคดีแรก พ.ต.ท.ก่อเกียรติ วุฒิจำนงค์ สว.กก.1 บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.1 บก.ป. จับกุมตัวแนายไฮนซ์ เยอร์เก็น อายุ 74 ปี ชาวเยอรมัน ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงราย ในข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” หลังเมื่อวันที่ 4 เม.ย.2553 ได้ก่อเหตุใช้อาวุธมีแทง น.ส จันทร์จิรา จันทาพูล อายุ 17 ปี แฟนสาว ที่บริเวณใบหน้า ลำคอ อก แขน มือ จำนวนรวมกว่า 20 แผล จนเสียชีวิตภายในที่บ้านเช่าไม่ทราบเลขที่ หมู่ 7 ต. ศรีคล้ำ อ. แม่จัน จ. เชียงราย ก่อนจะหลบหนีคดีไปหลบซ่อนตัวตามที่ต่างๆในพื้นที่ภาคเหนือ กระทั่งต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสืบทราบว่านายไฮนซ์ ปัจจุบันได้กลับมาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงราย อีกครั้ง จึงกระจายกำลังลงพื้นที่เฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งพบตัวอยู่ที่บริเวณหน้าร้านคลินิคเม็งรายแล็ป ถ.สันโค้งน้อย ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุมตัวได้ดังกล่าว
จากการสอบสวน นายไฮนซ์ ให้การรับสารภาพ โดยยอมรับว่าตนได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ที่ประเทศไทยนานกว่า 20 ปี แบะมีครอบครัวกับหญิงชาวไทยจนมีบุตรด้วยกัน 1 คน ก่อนที่ต่อมาภรรยาชาวไทยได้เสียชีวิตลง ตนจึงได้หันมาคบหากับ น.ส จันทร์จิรา ผู้ตาย ซึ่งเป็นเพื่อนลูกสาวของตนเอง ซึ่งตอนนั้น น.ส จันทร์จิรา มีอายุ 14 ปี ก่อนจะพา น.ส จันทร์จิรา และบิดาซึ่งเป็นผู้ป่วยพิการเข้ามาพักอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันนานกว่า 3 ปี ซึ่งช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนั้นตนกับน.ส จันทร์จิรา ได้มีปัญหาทะเลาะกันบ่อยครั้ง จนกระทั่งก่อนเกิดเหตุได้ เกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงภายในบ้าน ตนจึงพา น.ส จันทร์จิรา เข้าไปพูดคุยและพยายามเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในห้องนอน กันเพียงลำพัง แต่ก็ไม่เป็นผล จึงบรรดาลโทสะใช้มีดที่วางอยู่ภายในห้องจ้วงแทงน.ส จันทร์จิรา จนเสียชีวิต จากนั้นจึงเดินออกจากห้องมาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับบุตรสาวของตนเองและบิดาของผู้ตายให้รับทราบ ก่อนขอให้ทั้งสองคนพาตนไปเข้ามอบตัวกับทาง สภ.แม่จัน ต่อมาภายหลังที่มีการนำตัวส่งฝากขังยังศาลจังหวัดเชียงราย ตนได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวชั่วคราวเป็นวงเงิน 4 แสนบาท จนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมาก กระทั่งเมื่อถึงกำหนดนัดฟังคำพิพากษา ตนกลัวว่าเมื่อผลการตัดสินออกมาจะต้องถูกจำคุกเป็นเวลาหลายปี จึงตัดสินใจไม่ไปฟังคำพิพากษาแล้วหลบหนีคดีไปตามจังหวัดต่างๆในพื้นที่ภาคเหนือ รอกระทั่งเรื่องเริ่มเงียบหายไปจึงตัดสินใจกลับเข้ามาหลบซ่อนตัวในพื้นที่ จ.เชียงรายอีกครั้งกระทั่งถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาก่อนนำตัวส่งศาลจังหวัดเชียงราย ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับคดีที่สอง พ.ต.ต.เจตนิพัทธ์ ศิริวัฒน์ สว.กก.1 บก.ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.1 บก.ป. ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว นายเอกรัฐ หรือ อาร์ม บุญแต่ง อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 94/1 ม.1 ต.วัดพริก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ 730/2561 ลงวันที่ 30 ต.ค.2561 ข้อหา “พรากผู้เยาวน์เด็กอายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี เพื่อการอนาจาร ,พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย ,ข่มขืนกระทำชำเรา โดยใช้กำลังประทุษร้าย” หลังจากเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา นายเอกรัฐ ได้ก่อเหตุใช้กำลังบังคับข่มขืน น.ส.เอ นามสมมุติ อายุ 15 ปี เหตุเกิดบริเวณป่ารกร้างแห่งหนึ่งในพื้นที่ย่านท่าข้าม ก่อนหลบหนีไปซ่อนตัวตามพื้นที่ต่างๆ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสืบทราบว่าปัจจุบันได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องพักเลขที่ 201 เจริญสุข อพาร์ทเมนท์ ซ.เอกชัย76 แขวงและเขตบางบอน กทม. จึงนำกำลังเข้าทำการจับกุมตัวได้ดังกล่าว
จากการสอบสวน นายเอกรัฐ ให้การรับสารภาพ โดยยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุตนได้ตั้งใจจะไปหาพี่สาวของผู้เสียหายที่หอพักแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพระราม 2 แต่เมื่อไปถึงกลับไม่พบตัวพบเจอแต่ น.ส.เอ ผู้เสียหายซึ่งเป็นน้องสาว อยู่ในห้องดังกล่าวเพียงลำพัง จึงออกอุบายลวงพาผู้เสียหายขึ้นรถ จยย. แล้วขับพาไปที่ร้านคาร์แคร์ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณลานจอดรถ ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพระราม 2 จากนั้นจึงลงมือกระทำอนาจารพร้อมกับบังคับให้ผู้เสียหายถอดเสื้อผ้าออกเพื่อถ่ายคลิปเก็บไว้ แต่ระหว่างนั้นได้มีคนเดินผ่านมาพอดี จึงได้กระชากตัวผู้เสียหายขึ้นรถแล้วขับพาไปที่ซอยคุณากรแมนชั่น ห่างจากห้างเซ็นทรัลพระราม 2 ประมาณ 2 กม. เนื่องจากเป็นซอยเปลี่ยวและมีป่ารกร้างของเอกชนที่ยังไม่ได้ทำประโยชน์ ก่อนจะฉุดกระชากผู้เสียหายเข้าไปภายในป่าแล้วใช้กำลังบังคับข่มขืนผู้เสียหายจนสำเร็จความไคร่ ก่อนจะนำตัวผู้เสียหายกลับไปส่งที่ทางเข้าหอพัก พร้อมกับพูดขู่บังคับผู้เสียหายห้ามนำเรื่องไปบอกใคร กระทั่งมาทราบในภายหลังว่าผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความตนไว้ที่ สน.ท่าข้าม จึงได้หลบหนีไปตามที่ต่าง กระทั่งมาถูกจับกุมได้ดังกล่าว อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบประวัติพบว่าเคยถูกดำเนินคดีมาแล้ว 3 ครั้ง ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ประกอบด้วยคดีรับของโจรและคดีร่วมกันลักทรัพย์ พื้นที่ สภ.บางแก้ว เมื่อปี 2558 และ 2559 และคดีพกพาอาวุธปืน ในพื้นที่ สภ.สำโรงเหนือ เมื่อปี2559 ศาลพิพากษาให้จำคุก 1 ปี กระทั่งพ้นโทษออกมาก่อเหตุดังกล่าว เบื้องต้นจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาก่อนนำตัวส่ง สภ.ท่าข้าม ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป