“อภิสิทธิ์” ชี้ ปรับลดงบกห.ทำได้แต่อย่านำมาเป็นประเด็นขัดแย้ง รับปชป.มีนโยบายที่จะทำให้กองทัพกระชับ-ลดกำลังพลที่ไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เย้ยท.นำแนวคิดอ้อย-น้ำตาลแก้ข้าว ส่งผลคนไทยกินข้าวแพง ฟุ้งประกันราคาข้าวไม่มีทุจริต เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ตลาดประชาอุทิศ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และและ นายสาทร ม่วงศิริ ผู้สมัครส.ส. พร้อมคณะได้ลงพื้นที่เขตราษฎร์บูรณะ-ทุ่งครุ พบปะประชาชน และรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ในวันที่ 24 มี.ค. โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงชี้แจงงบประมาณกระทรวงกลาโหมไม่มาก และมีการกลั่นกรองของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า งบประมาณของทุกกระทรวงเป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่จะจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมามีการลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมเพียงครั้งเดียวคือสมัยที่ตนเองเป็นนายก แต่ก็ไม่เคยนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะการปรับลดงบประมาณเป็นไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเรื่องนี้สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องหยิบยกมาเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งอยากบอกว่าพรรคการเมืองที่ชูนโยบายปรับลดงบประมาณของกองทัพ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้ปรับลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมในช่วงที่มีอำนาจได้เลย แต่ทุกพรรคการเมืองมีสิทธิ์ที่จะนำเสนอนโยบายได้ แต่ก็ต้องอธิบายให้ชัดเจนถึงวัตถุประสงค์ของการปรับลดงบประมาณและผลลัพธ์ที่จะตามมา “พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายที่จะทำให้กองทัพมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีความกระชับมากขึ้น เราเชื่อว่ากำลังพลบางส่วนที่ถูกใช้ไปในภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงสามารถปรับลดได้ ซึ่งต้องพิจารณาตามความเหมาะสม แต่ขอให้วางใจว่าจะจัดสรรงบประมาณให้เป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศ ซึ่งกองทัพก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการทำงานให้กับประเทศ เรื่องนี้สามารถพูดคุยกันได้ในแบบที่ไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งขณะนี้ท่าทีของกองทัพแทนที่จะทำให้เป็นความขัดแย้งก็เชิญชวนให้ฝ่ายการเมืองสามารถเสนอแนวความคิดได้ ซึ่งอยากให้การเมืองเป็นเรื่องของข้อมูลและการสร้างสรรค์ไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งหรือเอาอารมณ์ใส่กัน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่าส่วนการนำหัวหน้าส่วนราชการเป็นประเด็นโจมตีทางการเมือง ก็มีความไม่สบายใจต่อการใช้อำนาจรัฐในพื้นที่ แต่ข้าราชการควรแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีความเป็นกลางทางการเมือง ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคการเมืองเป็นต้นเหตุของการรัฐประหารไม่ได้เกิดจากทหาร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร 2 ครั้งที่ผ่านมาเกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง แต่ก็ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่จะบอกว่าการรัฐประหารมีความชอบธรรมหรือไม่ และไม่ใช่เหตุผลที่จะบอกว่าจนถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว 5 ปีจะต้องมีการสืบทอดอำนาจ และต้องยอมรับความว่ากลไกการเมืองล้มเหลว และเปิดช่องให้มีรัฐประหาร ซึ่งหากต้องการก้าวพ้นต้องเลือกพรรคการเมืองเข้าไปบริหารประเทศแล้วไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดปัญหาอีก โดยต้องนำบทเรียนในอดีตที่ผ่านมาคิดทบทวน โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการลงพื้นที่ว่า ประชาชนต้องการให้ประเทศเดินหน้า แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องอย่างตรงจุด แ ละต้องการความมั่นใจว่าการเมืองจะเดินหน้าไปด้วยความสุจริต สำหรับนโยบายพรรค แก้จน สร้างคน สร้างชาติ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชน ส่วนที่พรรคภูมิใจไทยประกาศนโยบายเรื่องแบ่งปันผลประโยชน์เรื่องข้าวว่าดีกว่า กลไกการทำงานจะแตกต่างกัน แต่นโยบายข้าวเคยทำเรื่องการประกันรายได้จนประสบความสำเร็จ เป็นนโยบายที่พิสูจน์แล้วว่าไม่เกิดความเสียหายต่อฐานะการเงินการคลัง และไม่มีการทุจริต ไม่ทำลายกลไกการค้าข้าวและทำให้ข้าวไทยยังสามารถส่งออกได้ดีในตลาดโลก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนแนวทางของพรรคภูมิใจไทยน่าจะนำแนวคิดเรื่องอ้อยและน้ำตาลมาใช้กับข้าว ซึ่งเป็นความตั้งใจที่ดี แต่ตลาดข้าว อ้อยและน้ำตาล แตกต่างกัน โดยที่ผ่านมาได้มีการตรึงราคาน้ำตาลในระดับที่สูง แต่ทันทีที่มีการลอยตัวราคาน้ำตาลก็ส่งผลกระทบกับราคาอ้อยอย่างรุนแรง ซึ่งหากนำระบบอ้อย น้ำตาลมาใช้กับข้าวก็หมายถึงว่าคนไทยจะต้องกินข้าวแพงใช่หรือไม่ ขณะเดียวกันในการป้อนอ้อยเข้าสู่โรงงานนั้น โรงงานน้ำตาลก็มีจำนวนโรงงานน้อยกว่าและมีระบบที่สามารถตรวจสอบได้ ส่วนในการค้าขายข้าวนั้น ข้าวมีหลายประเภทและมีโรงสีจำนวนมาก จึงมองว่าอาจทำได้ยาก ซึ่งไม่ต้องฟังจากตัวเองก็ได้ แต่ไปฟังจากนักวิชาการว่า การจะนำระบบอ้อยและน้ำตาลมาใช้กับข้าวนั้นสามารถเป็นไปได้หรือไม่