นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้เปิดให้บริการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ -ขอนแก่น ส่วนแรกแล้ว 5 สถานี ระยะทาง 35.92 กิโลเมตร ประกอบด้วย สถานีรถไฟโนนสูง สถานีดงพลอง สถานีบ้านมะค่า สถานีพลสงคราม จังหวัดนครราชสีมา สถานีบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น โดยสถานีบ้านไผ่ถือเป็น 1 ใน 2 สถานีสำคัญ ที่ได้ก่อสร้างยกระดับสูงขึ้นจากพื้นดิน ซึ่งเป็นสถานีรถไฟลอยฟ้าแห่งแรกของจังหวัดขอนแก่นที่ได้เปิดให้บริการ นอกจากนี้ การรถไฟฯ ยังได้เริ่มเปิดเดินรถ โดยนำขบวนรถไฟท้องถิ่น ขบวน 418 หนองคาย- นครราชสีมา มาให้บริการผ่านสถานีรถไฟลอยฟ้า ซึ่งออกจากสถานีรถไฟบ้านแฮดถึงสถานีบ้านไผ่ โดยได้รับเกียรติจากนายสันติ เหล่าบุญเสงี่ยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ร่วมขึ้นโดยสายในขบวนรถไฟดังกล่าว พร้อมมีนายพิชัย วัฒนศรีมงคล วิศวกรกำกับการกองบำรุงทางเขตขอนแก่น และตัวแทนกิจการร่วมค้าซีเคซีเอชผู้ก่อสร้างโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น นายวรวุฒิ กล่าวว่า สถานีบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เป็นสถานีรถไฟขนาดกลาง ตัวอาคารสถานีอยู่ระดับพื้นดิน พื้นที่อาคาร 332 ตรม. ส่วนชานชาลาจะอยู่บนทางรถไฟยกระดับ สูงจากพื้นดิน ประมาณ 14 เมตร ความยาวชานชาลา 510 เมตร พร้อมหลังคาคลุม ทางขึ้นประกอบด้วย ลิฟต์ 2 ตัว บันไดเลื่อน 4 ตัว และบันไดธรรมดา 8 ตัว โดยส่วนโครงสร้างทางรถไฟยกระดับ มีความยาวประมาณ 2.1 กิโลเมตร ข้าม 2 ทางผ่าน และมีความสูงเฉลี่ยจากระดับดิน 9 – 10 เมตร “การรถไฟฯ คาดหวังว่าการเปิดให้บริการโครงการรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น และ ทางรถไฟลอยฟ้าจังหวัดขอนแก่น จะช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการเดินทางโดยรถไฟมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก ไม่ต้องรอสับเปลี่ยนทาง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจุดตัดเสมอระดับทางรถไฟกับรถยนต์ ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้บริการรถไฟในการเดินทาง ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดขอนแก่นให้มากยิ่งขึ้น” สำหรับภาพรวมโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น มีระยะทางก่อสร้างรวมทั้งหมด 187 กิโลเมตร รวม 18 สถานี โดยเริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นมา หากโครงการนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จ จะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางจากชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น จาก 3 ชั่วโมง เหลือเพียง1 ชั่วโมง 20 นาที และช่วยลดเวลาการขนส่งสินค้าจากเดิม 6 ชั่วโมง เหลือเพียง 2 ชั่วโมง 30 นาที สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านคนต่อปี เป็น 10 ล้านคนต่อปี