เพียงสัปดาห์เดียวหลังการเปิดตัว โศกนาฏกรรมทางศิลปะก็เกิดขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อภาพกราฟฟิตี้ฝีมือศิลปินชาวสเปน ถูกกลุ่มคนลึกลับ "พ่นสีทับ" ในช่วงเช้ามืด ทิ้งไว้เพียง "สัญลักษณ์" ปริศนาที่ท้าทายอำนาจรัฐและจุดชนวนคำถามสำคัญ นี่อาจไม่ใช่แค่การทำลายทรัพย์สิน แต่คือ "การสื่อสาร" ที่ซ่อนเร้นความหมาย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามวัฒนธรรมบนกำแพงเมือง
เมื่อศิลปะนานาชาติถูก "บัฟ" กลางกรุง
เหตุเกิดเมื่อเช้ามืดวันที่ 27 กันยายน 2568 ภาพวาดบนผนังอาคารย่านซอยเจริญกรุง 30 เขตบางรัก ผลงานของ Carolina Adan Caro ศิลปินชาวสเปน ถูกพ่นสีทับจนเสียหายยับเยิน ภาพดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงภาพวาดธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระดับนานาชาติ Krung Thep Creative Streets (กรุงเทพฯ สตรีทสร้างสรรค์) ที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับสถานทูตยุโรปหลายแห่ง เชิญศิลปินนานาชาติ 15 ชีวิต มาเปลี่ยนพื้นที่ 15 จุดทั่วย่านสำคัญให้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้รับผิดชอบโครงการ เปิดเผยข้อมูลจากกล้องวงจรปิดว่า คนร้ายเป็นชาย 3 คน ใช้เวลาเพียง 17 นาที ในการทำลายผลงานที่ศิลปินใช้เวลาสร้างสรรค์นานถึง 7-10 วัน สะท้อนความจงใจในการก่อเหตุ แม้เจ้าหน้าที่จะติดตามจับกุมผู้กระทำผิดได้แล้ว 1 ราย และกำลังขยายผล แต่คำให้การของพวกเขากลับเผยให้เห็นมิติที่ซับซ้อนกว่าการคึกคะนอง พวกเขากล่าวว่านี่คือการ "บัฟ" (buff) ซึ่งเป็นศัพท์ในวงการกราฟฟิตี้ที่หมายถึงการพ่นทับเพื่อประกาศศักดาหรือยึดครองพื้นที่
กทม. เอาจริง! ฟันอาญา ม.358
ในฐานะ "พ่อเมือง" นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยชี้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่เคารพผลงานผู้อื่นและไม่เคารพเมือง
"เราอยากให้กรุงเทพฯ มีความสวยงามในด้านของงานศิลปะ แต่ 'ไอ้ความชั่ว' ของคนไม่กี่คนกลับทำให้ความตั้งใจดี ๆ มันเสียหายไป" นายชัชชาติ กล่าว
ผู้ว่าฯ กทม. ย้ำว่า กรณีนี้ไม่ใช่แค่การทำความสกปรกเลอะเทอะ แต่เป็น "การทำลายทรัพย์สิน" เนื่องจากผลงานศิลปะมีเจ้าของและมี กทม. เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ซึ่งอาจถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
"อย่าคิดว่าทำแล้วจะรอดไปได้ เพราะเรามี CCTV และเราเอาจริงเอาจัง การกระทำแบบนี้มันไม่ได้มีศักดิ์ศรีหรือความน่าภูมิใจเลย มันน่าจะอายด้วยซ้ำ" นายชัชชาติกล่าวเตือน พร้อมทั้งเสนอทางออกให้ศิลปินที่ต้องการพื้นที่สร้างสรรค์ โดย กทม. พร้อมจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมให้ แต่ต้องไม่ใช่การทำลายผลงานของผู้อื่น
มากกว่าแค่ทำลาย: ถอดรหัส "Going Over" ผ่านมุมมองโลก
การ "พ่นทับ" หรือที่ในวงการเรียกว่า "Going Over" ไม่ใช่แค่การทำลายล้าง แต่เป็นวัฒนธรรมการสื่อสารที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและซับซ้อน ผลงานค้นคว้าอย่างน้อย 2 ชิ้น ได้ถอดรหัสพฤติกรรมนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
ยุคบุกเบิก – งานวิจัยสำคัญที่เป็นรากฐานเกี่ยวกับความเข้าใจกราฟฟิตี้ยุคเริ่มต้น คือผลงาน The Black Inner City as Frontier Outpost: Images and Behavior of a Philadelphia Neighborhood เผยแพร่ในปี 1974 โดยนักวิจัย David Ley มุ่งศึกษาพื้นที่เมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ในช่วงที่เมืองอเมริกันกำลังเผชิญกับความเสื่อมโทรมในทศวรรษ 1970 โดย Ley ค้นพบจุดประสงค์หลักของกราฟฟิตี้ ได้แก่
ประการแรก การแสดงตัวตน (Identity Claim) เยาวชนชายชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่มักถูกทำให้ "มองไม่เห็น" ในสังคมเมือง ใช้การพ่นชื่อหรือ "แท็ก" (Tag) ซ้ำ ๆ เพื่อประกาศการมีอยู่ สร้างชื่อเสียง และสถานะทางสังคมภายในกลุ่มวัฒนธรรมกราฟฟิตี้ โดยมีเครื่องหมายเชิงอาณาเขต (Territorial Marker) ประการที่สอง การมีแท็กของกลุ่มหรือแก๊งอย่างหนาแน่นถือเป็นการแสดงออกถึงอำนาจและอิทธิพลในย่านนั้น ๆ ส่วนบริบทการ "พ่นทับ" เป็นการท้าทายโดยตรงต่อความขัดแย้งเพื่อช่วงชิง "พื้นที่" และ "ชื่อเสียง" ศิลปินที่สามารถพ่นทับงานคู่แข่งหรือสร้างสรรค์ผลงานในจุดที่เข้าถึงยากจะได้รับการยอมรับนับถือ
ยุคปฏิวัติ – กราฟฟิตี้ได้วิวัฒนาการไปสู่บทบาทใหม่ในฐานะเครื่องมือทางการเมืองระดับชาติ กรณีนี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือชื่อ Walls of Freedom: Street Art of the Egyptian Revolution โดย Karl Don และ Hamdy Basma ตีพิมพ์ในปี 2014 และศึกษาบริบทของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ในช่วงเหตุการณ์ปฏิวัติอาหรับสปริง ปี 2011
ในช่วงการปฏิวัติโค่นล้มประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค และการต่อสู้กับรัฐบาลทหารในเวลาต่อมา กำแพงเมืองไคโรได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่สื่อสารสาธารณะที่ทรงพลัง โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
ประการแรก การต่อต้านอำนาจรัฐโดยตรง กราฟฟิตี้ทำหน้าที่เป็น "หนังสือพิมพ์ของประชาชน" ที่ไม่ถูกเซ็นเซอร์ ใช้เพื่อล้อเลียนผู้นำ ประท้วงความรุนแรงของรัฐ และปลุกระดมประชาชน ประการที่สอง สมรภูมิแห่งความทรงจำ (Battlefield of Memory) ศิลปินวาดภาพผู้เสียสละ (Martyr Murals) เพื่อต่อสู้กับการที่ภาครัฐพยายามบิดเบือนหรือ "ลบเลือน" ความจริงเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตในการประท้วง
ประการที่สาม การทวงคืนพื้นที่สาธารณะ การพ่นสีบนกำแพงอาคารราชการหรือที่ทหารสร้างขึ้น เป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ในการทวงคืนพื้นที่เมืองกลับคืนสู่ประชาชน สำหรับการ "พ่นทับ" ในบริบทนี้ ผู้ที่ "พ่นทับ" ผลงานไม่ใช่ศิลปินด้วยกัน แต่เป็นภาครัฐหรือรัฐบาลทหาร ซึ่งจะส่งเจ้าหน้าที่มา "ลบ" หรือ "ทาสีทับ" ภาพทางการเมืองอย่างรวดเร็ว การกระทำนี้ก่อให้เกิดวงจรของการ "วาด-ลบ-วาดใหม่" อย่างไม่สิ้นสุด
จากกำแพงสู่โต๊ะนโยบาย: ทางออกของสงครามสตรีทอาร์ต?
เมื่อนำบริบทจากงานค้นคว้ามาพิจารณา เหตุการณ์ที่เจริญกรุงอาจสะท้อนจุดประสงค์มากกว่าการ "ทำลาย" เป็นโจทย์ท้าทายสำหรับ กทม. การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ในขณะเดียวกัน การจัดการอย่างขึงขังเพียงด้านเดียวอาจสร้างแรงต่อต้านและกระตุ้นให้เกิดการ "พ่นทับ" ในพื้นที่อื่นเพิ่มขึ้น
การเปิดพื้นที่รับฟังและทำความเข้าใจพลวัตของวัฒนธรรมย่อยกราฟฟิตี้ อาจเป็นทางออกเพื่อพัฒนานโยบายด้านศิลปะสาธารณะที่เปิดกว้าง ก่อนที่สงครามสีบนกำแพงจะลุกลามไปยังภาพสำคัญอื่น ๆ