29 กันยายน 2568 ถือเป็นวันปิดฉาก "คดีเงินทอนวัด" หลังจากที่เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมของไทย ใช้เวลาดำเนินการติดตาม จนถึงวันจับกุม “ผู้ต้องหา” ที่เป็นถึง “อดีตบิ๊กข้าราชการ” มาเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย รวมเวลาทั้งสิ้นถึง 8ปี !
โดยวันนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดได้นำตัว “นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์” อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ในคดีทุจริตเงินทอนวัดอย่างเป็นทางการ พร้อมคัดค้านการประกันตัว อันเนื่องจากพฤติการณ์หลบหนีไปต่างประเทศเป็นเวลานาน
จุดเริ่มต้นของมหากาพย์การทุจริตที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์และสำนักพุทธฯ นี้ ย้อนกลับไปในช่วงที่นายนพรัตน์ ดำรงตำแหน่ง ระหว่างปี 2553-2557 ซึ่งได้มีการใช้อำนาจเบียดบังเงินงบประมาณแผ่นดินที่รัฐจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์วัด การพัฒนาวัด และการศึกษาพระปริยัติธรรม
พฤติกรรมทุจริตคือการตั้งงบประมาณสูงเกินจริง และประสานกับวัดต่างๆ โดยมีข้อตกลงให้วัดโอนเงินส่วนหนึ่งที่เรียกว่า "เงินทอน" กลับคืนให้แก่เจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้ร่วมขบวนการ ซึ่งมีทั้งข้าราชการระดับสูงใน พศ. และพระเถระบางรูป ทำให้งบประมาณของรัฐที่ควรจะทำนุบำรุงศาสนาถูกฉ้อฉลไปเป็นจำนวนมหาศาล
ความคืบหน้าของคดีเริ่มเป็นรูปธรรมเมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) เข้ามาดำเนินการไต่สวน และชี้มูลความผิดนายนพรัตน์ หลายสำนวนฐานทุจริต รวมทั้งต่อมาได้มีการชี้มูลความผิดฐาน "ร่ำรวยผิดปกติ" เนื่องจากพบเงินฝากและทรัพย์สินของเจ้าตัว คู่สมรส และบุคคลใกล้ชิด รวมมูลค่าสูงกว่า 575 ล้านบาท แต่ไม่สามารถชี้แจงที่มาได้ !
โดยขณะนั้น นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก สำนักงาน ป.ป.ช.เปิดเผยว่า ป.ป.ช. ได้ไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายนพรัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์ที่จัดสรรให้วัดพนัญเชิงวรวิหาร ประจำปีงบประมาณ 2557 และปีงบประมาณ 2558
“ จากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ที่ได้ยื่นไว้ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พบว่า นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ และนางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์ (คู่สมรส) มีการนำฝากเงิน ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน รวมทั้งมีการซื้อที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะ และซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตจำนวนมาก ซึ่งไม่สัมพันธ์กับรายได้ที่พึงมี” (15 ม.ค.2563)
เมื่อป.ป.ช.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวน หลังพบมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และยังมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินไว้เป็นการชั่วคราวแล้วจำนวน 176 ล้านบาทและ มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพื่อขอให้ทรัพย์สินดังกล่าว ตกเป็นของแผ่นดิน
หลังจากถูกชี้มูลความผิด นายนพรัตน์ ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกานานกว่า 8 ปี แต่ด้วยความร่วมมือ ระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช., สำนักงานอัยการสูงสุด และทางการสหรัฐอเมริกา ในที่สุดเจ้าหน้าที่ U.S. Marshals ได้ดำเนินการจับกุมตัวนายนพรัตน์ได้ ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่รัฐเท็กซัส เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
ต่อมาสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ขอให้อัยการสูงสุด ในฐานะผู้ประสานงานกลาง ตามพระราชบัญญัติ ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 มีคำร้องไปยังสหรัฐอเมริกาให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ราย นายนพรัตน์ กลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย
และเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 ป.ป.ช. ได้มอบหมายนายนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักกิจการและคดีทุจริตระหว่างประเทศ ปฏิบัติการร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการเพื่อควบคุมตัวนายนพรัตน์ กลับมายังประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับในส่วนของป.ป.ช. จะประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการยึด อายัด และติดตามทรัพย์สินที่ได้จากการทุจริตกลับคืนสู่ประเทศ เป็นไปตามหลักการและพันธกรณีอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.2003 ซึ่งทั้งประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐภาคี
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ระบุว่า นายนพรัตน์ ได้สถานะเป็นพลเมือง (Citizen) ของสหรัฐอเมริกาแล้ว ในช่วงที่หลบหนีคดีในประเทศสหรัฐอเมริกา
และด้วยสถานะความเป็นพลเมืองอเมริกันนี้ ถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระบวนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาดำเนินการนานกว่าปกติ เนื่องจากผู้ที่มีสถานะพลเมืองสหรัฐฯ มีสิทธิ์ที่จะต่อสู้คดีในศาลสหรัฐฯ เพื่อคัดค้านการส่งตัวกลับประเทศ
แต่ในที่สุด รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจดำเนินการจับกุมตัวนายนพรัตน์ และศาลสหรัฐฯ เห็นชอบให้ส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย ตามคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของทางการไทย ภายใต้ความร่วมมือตามสนธิสัญญา
และนี่ถือเป็นการปิดฉากการหลบหนีของหนึ่งในผู้บงการคดีฉาวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ !!