แค่ประดาบ ก็เลือดเดือด เพราะยังไม่ทันถึงวันที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย จะนำครม.ใหม่ เข้าแถลงนโยบายรัฐบาล ต่อที่ประชุมรัฐสภา ในวันที่ 29-30 ก.ย.68 นี้ ปรากฎว่า บรรยากาศในสภาผู้แทนราษฎร ตั้งเค้าส่อลางว่าจะดุเดือด!
ตามกรอบที่ผ่านมติวิป3ฝ่าย มีความชัดเจนแล้วว่า การแถลงนโยบายรัฐบาล “ครม.อนุทิน 1” จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 29-30 ก.ย.นี้ โดยจะเริ่มประชุม 09.00 น. ส่วนวันที่ 30 ก.ย. ครม. แจ้งว่าขอให้เลิกประชุมไม่เกินเวลา 18.00 น. เนื่องจากต้องมีการประชุม “ครม. นัดพิเศษ”
สำหรับกรอบเวลาการอภิปรายของแต่ละฝ่าย คือ ครม. และ สส. พรรคร่วมรัฐบาล ได้เวลา 6 ชั่วโมง สว.ได้เวลา 3 ชั่วโมง ส่วนพรรคการเมืองฝ่ายค้านได้เวลา 15 ชั่วโมง ขณะที่ประธานในที่ประชุมได้เวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งเวลาของ ครม.และพรรคร่วมรัฐบาล จะไม่นับรวมกับเวลาที่ นายกฯ แถลงนโยบาย
งานนี้ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล บอกแล้วว่า ไม่มี “องครักษ์” เพื่อพิทักษ์ นายกฯหนู เพราะงานนี้ นายกฯจะชี้แจงด้วยตัวเอง ในทุกประเด็น
ล่าสุดมีการเปิดนโยบายรัฐบาลที่เตรียมแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา ที่รัฐบาลวางกรอบเอาไว้สำหรับ “4 ปัญหาเฉพาะหน้า” ได้แก่ “ปัญหาเศรษฐกิจ– เรื่องปัญหาของความมั่นคง -ปัญหาภัยพิบัติภัยธรรมชาติ -ปัญหาภัยสังคม”
รวมทั้งยังย้ำว่ารัฐบาลจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น1ใน5ข้อ ที่ทำ MOA ไว้กับพรรคประชาชน และยังให้คำมั่นว่า รัฐบาลนี้จะอยู่แค่ 4 เดือนจากนั้นยุบสภา พร้อมวางไทม์ไลน์ชัดเจน เพื่อไม่ทำให้การเมืองเกิดความวุ่นวาย
แต่ดูเหมือนว่า สาระของการนำ “นโยบายรัฐบาล” เพื่อไปแถลงต่อรัฐสภา ในสัปดาห์หน้านั้น ยังไม่เข้มข้นมากเท่ากับการที่ “ครม.อนุทิน 1” กำลังจะถูก “พรรคเพื่อไทย” ที่เป็นทั้ง ฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น เตรียมหยิบยกเอาปมประเด็น “คุณสมบัติ” ของ “รัฐมนตรี” มาชำแหละกันกลางรัฐสภา !
ปัญหาเรื่องคุณสมบัติผู้ที่มาเป็นรัฐมนตรี ในครม.ใหม่ ถูกจับตามาตั้งแต่มีชื่อ “ติดโผ” มาแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งพบว่ามีทั้งรัฐมนตรี ของพรรคภูมิใจไทย เองไปจนถึง ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่มการเมืองที่เข้ามาสนับสนุนรัฐบาล จนได้เก้าอี้รัฐมนตรีไป
แต่ที่น่าสนใจ คือรัฐมนตรีในส่วนของพรรคสีน้ำเงินเอง ซึ่งพรรคฝ่ายค้านออกมาโจมตีไปแล้วว่า ไม่ต่างจาก “บุรีรัมย์โมเดล” เพราะมีแต่คนใกล้ชิดกับสายอำนาจ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำตัวจริงพรรค แทบทั้งสิ้น !
ล่าสุด “โสภณ ซารัมย์” แกนนำพรรคสีน้ำเงิน ที่รอบนี้ได้นั่งเก้าอี้ใหญ่ คือรองนายกฯ โอดครวญว่าที่เข้ามาได้เพราะ “นอมินีเนวิน” ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า รัฐมนตรีจะมาจากบุรีรัมย์มากหรือน้อยก็ไม่ใช่ปัญหา แต่มาแล้วทำให้ประเทศชาติเสียหายหรือไม่ หรือทำอะไรให้สังคมได้หรือไม่
“ เรื่องนอมินีผมโดนมานานแล้ว ทุกคนมีนอมินีหมด อย่างน้อยก็นอมินีเมียตัวเอง และผมก็เป็นนอมินีที่พรรคภูมิใจไทยส่งมา เพราะฉะนั้นเป็นตัวแทนใครก็ไม่สำคัญ อยู่ที่การใช้อำนาจ” (26 ก.ย.68)
ขณะที่ “พล.ต.ต. รุทธพล เนาวรัตน์” รมว.ยุติธรรม ป้ายแดง ถูกตรวจสอบประวัติตั้งแต่วันที่มีชื่อจ่อคิวจะได้นั่งรมว.ยุติธรรม ว่า อดีตรองผบก.ตำรวจภูธรภาค 3 คนนี้ถูกส่งตรงมาจาก “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” เช่นกัน
การที่พรรคสีน้ำเงินวางตัวพล.ต.ต.รุทธพล เข้ามานั่งรมว.ยุติธรรม จึงทำให้เกิดคำถามว่าจะส่งผลกระทบต่อคดีฮั้วเลือกสว.ที่มี คนของพรรคภูมิใจไทย ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ให้หายไปด้วยหรือไม่ รวมถึงคดีที่ดินเขากระโดง ที่บุรีรัมย์ แม้พล.ต.ต.รุทธพล จะบอกกับสื่อวันนี้แล้วว่า เรื่องคดีที่เคยดำเนินการกันมาเมื่อรัฐบาลที่แล้ว ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่ากันไป ก็ตาม
ในประเด็นว่าด้วยคุณสมบัติรัฐมนตรี ในครม.ใหม่ นี่เอง อาจเกิดเป็น “ศึกสามเส้า” เพราะอย่าลืมว่า พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคฝ่ายแค้น คงไม่อภิปรายฯ พุ่งเป้าไปที่ครม.ใหม่เท่านั้น แต่มีโอกาสสูงที่จะพาดพิงไปถึง “พรรคประชาชน” ในฐานะ “ผู้สนับสนุนหลัก” อย่างเป็นทางการ เพราะพรรคส้ม มีมติโหวตให้อนุทิน ได้เป็นนายกฯ
ดังนั้นพรรคเพื่อไทย จึงตั้งคำถามมาตลอดว่า พรรคสีส้มจะต้อง “รับผิดชอบ” สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหรือไม่ เพราะหน้าตาครม.ใหม่ นั้นยังมีรัฐมนตรี ที่คุณสมบัติส่อขัดรัฐธรรมนูญ
“ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่เคยออกมากางแนวการอภิปรายนโยบายรัฐบาล ของพรรคเพื่อไทยเอาไว้ใน 2 ประเด็น คือ นโยบายที่นายกรัฐมนตรีจะแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งจะลงรายละเอียดไปที่การบริหารราชการแผ่นดินภายในช่วงเวลา 4 เดือน การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และการทำประชามติ
ส่วนประเด็นที่ 2 คือคุณสมบัติของรัฐมนตรีแต่ละคน ความรู้ความสามารถรวมไปถึงหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทั้งในเรื่องคดีบุกรุกที่ดินเขากระโดงและคดีฮั้ว สว.
“ มีข้อครหารัฐมนตรีหลายรายในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือถูกชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช. แต่ได้รับตั๋วช้างสีส้ม จากพรรคประชาชนให้ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรี ซึ่งต้องได้รับการวินิจฉัยให้เป็นมาตรฐานเดียวกับรัฐบาลเพื่อไทยที่เคยถูกตรวจสอบ”
เท่ากับว่าวันแถลงนโยบายรัฐบาล “อนุทิน 1” จึงอาจไม่ใช่แค่การนับหนึ่ง เริ่มต้นการบริหารงานของรัฐบาลใหม่ หากแต่ยังเป็นเสมือน “ศึกภาคต่อ” ทั้ง ส้ม-แดง และสีน้ำเงิน ที่จะเขย่ารัฐสภา ตลอด 2 วันในสัปดาห์หน้า !