กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยผลอนามัยโพล จากการสำรวจเรื่อง “ระดับความพร้อมในการเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์” สำรวจหญิงไทยอายุ 19-49 ปี จำนวน 404 คน พบว่า หญิงไทยยังมีความต้องการมีลูก 63% และมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพียงพอ 53% สิ่งจูงใจ คือ สวัสดิการเพิ่มเงินอุดหนุนสำหรับเลี้ยงดูบุตร และเพิ่มจำนวนวันลาคลอดได้เป็น 180 วัน พร้อมรับเงินเดือนเต็ม และเน้นย้ำเรื่องการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารสุขภาพกับประชาชนให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากผลการสำรวจอนามัยโพล เรื่อง “ระดับความพร้อมในการเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์” ในกลุ่มหญิง ที่มีอายุ 19-49 ปี จำนวน 404 คน พบว่า มีอายุเฉลี่ย 34.2 ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส หรือมีคู่ 67% ในขณะที่โสด 29% และเมื่อถามถึงความต้องการใช้ชีวิตคู่ พบว่า ต้องการมีคู่มากถึง 88% นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ต้องการเป็นโสดอยู่ 12% เมื่อถามถึงความต้องการมีบุตรในภาพรวม พบว่า หญิงไทยส่วนใหญ่ต้องการมีบุตร 63% และกำลังตั้งครรภ์ 8% ในขณะที่ไม่ต้องการมีบุตรที่ 29% ทั้งนี้ ผู้ตอบให้ความเห็นถึงสวัสดิการที่สามารถจูงใจให้ตัดสินใจมีบุตรได้มากที่สุดคือ การเพิ่มเงินอุดหนุนในการเลี้ยงดูบุตรให้เป็นแบบถ้วนหน้า รองลงมาคือการเพิ่มจำนวนวันลาคลอดได้เป็น 180 วัน โดยได้รับเงินเดือนเต็ม รวมทั้งมีข้อเสนอเพิ่มเติมถึงสิทธิข้าราชการที่ควรเบิกค่าทำ ICSI / IVF ได้ 50-70% หรือมีสิทธิการรักษาผู้มีบุตรยากฟรีสำหรับผู้ทีเคยใช้วิธี IUI แล้วแต่ยังไม่ตั้งครรภ์
กรมอนามัย จึงเสนอแนวทางส่งเสริมการเตรียมความพร้อมตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพในหญิงไทยสำหรับทุกภาคส่วน ดังนี้ 1) สื่อสารเพื่อสร้างความรู้ด้านการเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์โดยใช้ช่องทางการสื่อสาร
ที่หลากหลาย ทั้งสื่อดิจิทัล เครือข่ายบุคลากรสาธารณสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะประเด็นที่ประชาชนที่ยังขาดความรู้ เช่น ความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ในหญิงอายุน้อยกว่า 20 ปี การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ภาวะโรคติดเชื้อ (เช่น เอชไอวี และซิฟิลิส) รวมถึงโภชนาการที่ถูกต้องก่อนตั้งครรภ์ 2) ให้คำแนะนำเชิงรุกแก่หญิงวัยเจริญพันธุ์และคู่สมรส พัฒนาคลินิกสำหรับให้คำปรึกษาก่อนตั้งครรภ์ในหน่วยบริการสาธารณสุขทุกระดับ โดยบูรณาการการทำงานของบุคลากรด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ โภชนาการ และสุขภาพจิต โดยนำประเด็นเรื่องสวัสดิการที่รัฐให้การสนับสนุนเพื่อจูงใจให้ตัดสินใจมีบุตร 3) กำกับติดตามและประเมินผลลัพธ์จากการขับเคลื่อนงานด้านการส่งเสริมสุขภาพหญิงวัยเจริญพันธุ์
ดร.นายแพทย์บุญฤทธิ์ สุขรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กล่าวว่า ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ พบว่า มีผู้ตอบถูกต้องมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) เรื่องผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต/จิตเวช รวมถึงผู้ที่ใช้สารเสพติด ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ จะส่งผลกระทบต่อทารกหากเกิดการตั้งครรภ์ 2) ผู้มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคไทรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตั้งครรภ์ และ 3) การออกกำลังกายและการมีสุขภาพจิตที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์มากขึ้น
นายแพทย์อัครวัฒน์ เพียวพงภควัต ผู้อำนวยการกองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ กล่าวว่า เมื่อสอบถามถึงระดับความรอบรู้ พบว่า “มีความรอบรู้ในระดับเพียงพอ” 53% โดยพิจารณาจากการเข้าถึงข้อมูลและการซักถามข้อสงสัย ผู้ตอบส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ “ง่ายมาก” โดยเฉพาะการหาข้อมูลการกินอาหารเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ การลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ เช่น การเลิกใช้สารเสพติด การเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การเลิกสูบบุหรี่ได้ การออกกำลังกาย เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ยังมีความรู้ความเข้าใจน้อยอยู่ ได้แก่ เรื่องอายุและน้ำหนักตัวที่เหมาะสมของแม่ น้ำตาลในเลือด และการติดเชื้อบางโรค เป็นต้น