ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
อำนาจทางการเมืองนั้นเป็นอนิจจังอีกอย่างหนึ่ง คนที่ยึดติดย่อมจะมีแต่ทุกข์ รวมถึงการยึดติดกับบุคคลที่มีอำนาจ ก็ย่อมอยู่ในความประมาทและมีชีวิตที่มีแต่อันตรายอยู่ร่ำไป
การขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคมและลงเลือกตั้งใน พ.ศ. 2518 ของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านบอกว่าเป็น “เวรกรรมที่ทำมา” เพราะท่านคิดว่าคงจะไม่ได้กลับมาในหนทางการเมืองนี้อีกแล้ว ตั้งแต่ครั้งที่ท่านลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. เมื่อ พ.ศ. 2492 ด้วยเหตุที่บ้านเมืองของเราปกครองโดยทหารมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังของนิสิตนักศึกษาโค่นล้มเผด็จการทหารลงได้ในเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ทำให้ “ฟ้าเปิด” และนำท่านมาสู่การเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แล้วก็มาถูกรายล้อมด้วยเสียงเรียกร้องจากคนที่ท่านบอกว่า “รักและเคารพกัน” ซึ่งท่านก็ได้แต่คิดในใจว่า “ยิ่งกว่าลงกระทะทองแดง” แต่ก็ต้องรับที่จะทำ มาลง “กระทะทองแดง” หรือการเมืองนี้อีกรอบ เพราะมีแรงผลักดันทั้ง “ข้างบนและข้างล่าง” ดังกล่าว
การเลือกตั้งในวันที่ 26 มกราคม 2518 พรรคกิจสังคมใช้สโลแกนในการเลือกตั้งว่า “เราทำได้” ทำเป็นตัวหนังสือตัวโต ๆ พร้อมกับใช้รูปมือที่ชูกำปั้นขนาดใหญ่ อยู่บนโปสเตอร์หาเสียงของพรรค กินเนื้อที่ 3 ใน 4 ของแผ่นโปสเตอร์ โดยพื้นที่อีก 1 ใน 3 ที่เหลือ มีรูปท่านอาจารย์คึกฤทธิ์วางอยู่ข้างบน ด้านล่างก็เป็นรูปกับเบอร์ของผู้สมัคร แตกต่างจากผู้สมัครของพรรคอื่น ๆ ที่ยังคงทำโปสเตอร์แบบเดิม ๆ ที่เน้นรูปกับเบอร์ของผู้สมัคร ร่วมกับหัวหน้าพรรคเป็นสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นพรรคกิจสังคมยังจัดขบวนรถและขบวนแห่ผู้สมัครอย่าง “ตึงตัง” มีสีสัน ประกอบด้วยรถบรรทุกทั้งใหญ่และเล็กมาตกแต่งเป็นรถหาเสียงอย่างแข็งแรงสวยงาม ขบวนผู้ช่วยหาเสียงมีจำนวนคนที่มากพอสมควร แต่ละคนถือป้ายไม้อัดติดแผ่นโปสเตอร์ แต่งตัวด้วยยูนิฟอร์มหรือเสื้อยืดของพรรค รถเหล่านั้นจะวิ่งไปตามถนนใหญ่และชุมชนต่าง ๆ ส่วนขบวนแห่จะเดินไปตามตลาดและแหล่งชุมนุมชน แล้วกระจายตัวเข้าไปตามตรอกซอกซอย ไปแจกแผ่นผลิวและบัตรแนะนำผู้สมัคร แบบที่เรีกว่า “เคาะประตูบ้าน” ส่วนรถที่วิ่งไปรอบ ๆ ก็จะเปิดเพลงของพรรค เป็นต้นว่า มาร์ชพรรคกิจสังคม รักคึกฤทธิ์เลือกกิจสังคม และเราทำได้(ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2519 ได้เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับนโยบายพรรคที่ได้ทำไปแล้ว จึงได้เปลี่ยนชื่อเพลงนี้เป็น เราทำได้ – เราทำได้แล้ว รวมทั้งที่มีการนำนโยบายพรรคไปทำเป็นเพลงลูกทุ่งจนดังกระหึ่ม โดยเพลิน พรหมแดน ในชื่อเพลงคึกฤทธิ์คิดลึก และได้เป็นเพลงประจำพรรคกิจสังคมอีกเพลงหนึ่งในที่สุด) ทั้งนี้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ออกเดินทางไปช่วยลูกพรรคหาเสียงในหลายจังหวัดทั่วประเทศ สำหรับที่กรุงเทพฯก็เน้นมาก ๆ โดยมีทั้งการปราศรัยเปิดตัวพรรคที่สนามหลวง และปราศรัยย่อยไปอีกหลายที่ แล้วมาปิดท้ายก่อนวันเลือกตั้งด้วยการปราศรัยใหญ่ที่สนามหลวงอีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากประชนที่มาฟังเป็นอย่างมาก ที่ผู้มาฟังการปราศรัยทั้งเปิดและปิดนั้น “มืดฟ้ามัวดิน” ซึ่งก็คงเป็นด้วย “เสน่ห์และบารมี” ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นสำคัญ
ผลการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 คือ 72 คน จึงได้สิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล โดยเสนอชื่อ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี และสามารถรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองอื่น ๆ มาได้ 153 เสียง ทว่าในการโหวตเพื่อรับรองนโยบายรัฐบาล ที่ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 กำหนดให้ต้องได้รับเสียงรับรองจากรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรในคราวนั้นมีจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 269 คน แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเสียงรับรองแค่ 133 เสียง สภาจึงต้องซาวน์เสียงหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ จากนั้นก็ต้องให้สภารับรองนโยบาย ซึ่งก็ผ่านได้ด้วยคะแนนเสียง 135 ต่อ 59 งดออกเสียง 75 หรือมีคะแนนผ่านอย่างเฉียดฉิวแค่เสียงเดียว !
ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ (ใน พ.ศ. 2518 เป็นรองเลขาธิการพรรคกิจสังคม และขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคใน พ.ศ. 2519 เป็นอดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วลาออกมาตั้งพรรคกิจสังคมกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เป็น ส.ส.ร่วมเขตกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์หลายสมัย ได้เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง จนเมื่อท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรคกิจสังคมใน พ.ศ. 2528 ก็ได้ลาออกมาด้วย ถือว่าเป็นคนที่มีความใกล้ชิดกับท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง คนในวงการการเมืองจึงมองว่าท่านเป็น “มือขวา” ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ และด้วยท่าทางกับการพูดหาเสียงที่คล้ายท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ บางทีสื่อมวลชนจึงเรียกท่านว่า “คึกฤทธิ์น้อย”) ได้เขียนบทความลงในคอลัมน์ “โลกกว้างทางแคบ” เมื่อครั้งที่ยังเป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เล่าเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนั้นว่า เป็นไปได้และเกิดขึ้นได้ด้วย “บารมี” ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์โดยแท้
ดร.เกษม เขียนว่า เมื่อรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับความไว้วางใจในคราวที่แถลงนโยบายให้สภารับรอง ในวันที่ 6 มีนาคม 2518 ซึ่งการที่รัฐบาลผสมของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับความไว้วางใจก็เกิดขึ้นจากพูดของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า “เป็นพรรคที่เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น” คือในเวลาที่หาเสียงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ได้โจมตีพรรคการเมืองอื่น ๆ และผู้สมัครของพรรคเหล่านั้นอย่าง “สาดเสียเทเสีย” ยิ่งไปกว่านั้น ดร.เกษม ยังกล่าวถึงท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อีกว่า มีลักษณะตรงกันข้ามกับผู้นำในพรรคประชาธิปัตย์ คือเป็นคน “มีเสน่ห์” เป็นที่ชอบพอและเคาพนับถือในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาตั้งแต่ครั้งที่รัฐสภามีการเลือกตั้งครั้งแรก ๆ หลังสงครามโกลครั้งที่ 2 แม้ว่าจะลาออกไปใน พ.ศ. 2492 ก็ยังมีคนนับหน้าถือตาอยู่พอสมควร โดยเฉพาะในหมู่นักการเมืองรุ่นเหล่านั้น ที่ยังคงเข้ามามีบทบาทในการคุมพรรคการเมืองหลาย ๆ ในการเลือกตั้งปี 2518 ถึงแม้ว่าพรรคกิจสังคมของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จะได้ ส.ส.มาแค่ 18 คน แต่ด้วยบารมีของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ หลายคนจึงเชื่อว่าท่านมีความสามารถที่จะผูกมัดใจผู้คนเหล่านั้นไว้ด้วยกันได้เป็นอย่างดี จึงได้เห็นชอบและร่วมกันเสนอชื่อให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี และโหวตรับรองรัฐบาลผสมของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นี้ด้วย
รัฐบาลผสมชุดนั้นสื่อมวลชนเรียกว่า “รัฐบาลร้อยพ่อพันแม่” เพราะประกอบด้วยพรรคการเมืองต่าง ๆ กว่า 10 พรรค แต่นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลขอให้เรียกว่า “รัฐบาลสหพรรค” อย่างไรก็ตามเสถียรภาพของรัฐบาลก็ไม่ได้มีความมั่นคงนัก ไม่ใช่เพียงเพราะว่ามีพรรคการเมืองมาร่วมกันอย่างมากมายถึงสิบกว่าพรรคนั้นแล้ว แต่ในบางพรรคก็มีการแบ่งเป็นหลายพวก ที่สื่อมวลชนสมัยนั้นเรียกว่า “ก๊ก” หรือ “มุ้ง” ซึ่งการเกิดก๊กหรือมุ้งนี้ก็เกิดจากการแย่งชิงตำแหน่งในแต่ละพรรคนั้นเป็นสำคัญ เพราะการจัดตั้งรัฐบาลมีลักษณะแบบ “โควตา” คือการหารเฉลี่ยตำแหน่งรัฐมนตรีตามจำนวน ส.ส. ซึ่ง ส.ส.รัฐบาลมีจำนวนรวมกัน 135 คน (ที่จริงก็เกินจำนวนครึ่งหนึ่งของสภามาเพียงคนเดียว เพราะส.ส.ทั้งสภามีจำนวน 269 คน จึงมีความอ่อนแออยู่มากแล้ว) แต่มีตำแหน่งรัฐมนตรี 35 คน นั่นก็คือถ้าคำนวณด้วยคณิตศาสตร์ ใครมี ส.ส. 135 หาร 35 เท่ากับ 3.9 หรือ 4 คน ก็จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง ดังนั้นบางพรรคก็จะมีการตกลงกันว่าให้แกนนำของกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ได้เป็นรัฐมนตรีก่อน แล้วอีก 2 - 3 เดือนก็ค่อยสับเปลี่ยนกันให้แกนนำของกลุ่มอื่นขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีบ้าง ที่สื่อมวลชนสมัยนั้นเรียกว่า “เล่นเก้าอี้ดนตรี” ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้รัฐบาลจึงมีความเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปัญหาภายในรัฐบาลอีกอย่างหนึ่ง ก็คือความพยายามของกองทัพหรือผู้นำทหารที่จะกลับคืนสู่อำนาจทางการเมือง โดยเข้ามายุแยง “ปั่นหัว” บรรดา ส.ส.และผู้นำของพรรคการเมืองบางพรรคให้ “ล้มรัฐบาล” ร่มกับปัญหาความวุ่นวายที่นอกสภา ที่มีการเดินขบวนประท้วงในเรื่องต่าง ๆ อยู่ทั่วประเทศทุกวัน จนสื่อมวลชนสมัยนั้นเรียกว่า “ม็อบรายวัน” นั่นก็เป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับรัฐบาล เพราะต้องบริหารประเทศด้วยความยากลำบาก ท่ามกลางวิกฤติทั้งภายในและภายนอกดังกล่าว
อย่างไรก็ตามรัฐบาลที่นำโดยพรรคกิจสังคมและนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็สร้างชื่อเสียงฝากไว้ในแผ่นดินให้คนจดจำได้เป็นอย่างดี และหลาย ๆ นโยบายก็เป็น “หัวเชื้อ” หรือ “ต้นกำเนิด” นโยบายของพรรคการเมืองในยุคใหม่ ที่ยังคงมีการดำเนินการสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน