‘ผอ. สกสว.’ ตั้งทีมเฉพาะกิจติดตามเหตุ ‘สามเสนทรุด’ ระดมผลงาน ‘กองทุน ววน.’ ร่วมกู้สถานการณ์ ส่งเครื่อง ‘Tiltmeter’ จับการเคลื่อนตัวมวลดิน-ตึกเอียง พร้อมอัปเกรดเกณฑ์เตือนภัยดินถล่มในอนาคต ติดเพิ่มเครื่อง TUSHM วัดสัญญาณแผ่นดินไหวร่วม ส่งทีมนักวิจัย-ผู้เชี่ยวชาญ ใช้ Lidar เลเซอร์สแกน 3 มิติ สำรวจความเสียหาย-ผลกระทบรอบพื้นที่ เล็งเชิญ ‘กูรูญี่ปุ่น’ ติวเข้มรับมืออุบัติภัย เผย ‘กองทุน ววน.-สกสว.’ มีองค์ความรู้-นักวิจัย-ผู้เชี่ยวชาญ-แผนแม่บท พร้อมหนุนทุกภาวะวิกฤต-ปกติ
จากกรณี ถนนสามเสน จุดก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีวชิรพยาบาลในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาลกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างเข้าไปยังเขตโรงพยาบาลวชิระฯ ใกล้กับอาคารทีปังกรรัศมีโชติ ซึ่งเป็นอาคารผู้ป่วยนอกและยังทำให้พื้นดินใต้สถานีตำรวจนครสามเสนที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จทรุดลงไปจนเห็นเสาเข็มด้านล่างลึกไปราว 30 เมตร เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2568 และผู้เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการปิดกั้นไม่ให้น้ำไหลเข้ามาเติมบริเวณหลุมยุบป้องกันไม่ให้ดินสไลด์ตัวเพิ่มจนเกิดเหตุซ้ำซ้อนขึ้นอีก
ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดเผยว่า หลังได้มอบหมายคณะทำงานชุดเฉพาะกิจ ติดตามสถานการณ์ ประเมินความเสี่ยง และเฝ้าระวังความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง และค้นคว้าข้อมูลจากงานวิจัยและนวัตกรรมภายใต้การสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) และ สกสว. ที่อาจสามารถนำมาใช้และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งได้พบว่ามีผลงานวิจัยและนวัตกรรมหลายชิ้นของกองทุน ววน. ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ และป้องกันเหตุที่จะเกิดในอนาคต อาทิ ผลงานวิจัยเรื่อง IoT tiltmeter วัดการเอียงตัว และประเมินความเสี่ยงของอาคาร” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อภินิติ โชติสังกาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะ ซึ่งเป็นการพัฒนาเครื่องมือตรวจวัดทางธรณีเทคนิค ที่นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ร่วมกับงานวิศวกรรมปฐพีให้ทำงานร่วมกันด้วยการสื่อสารผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แสดงผลบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต เพื่อตรวจวัดและนําไปสู่การพัฒนาเกณฑ์เตือนภัยดินถล่ม
“อุปกรณ์ทิลท์มิเตอร์ (Tiltmeter) จะเป็นเซนเซอร์ที่ตรวจจับการเอียงตัวของอาคาร เพื่อประเมินความเสี่ยงเหตุอาคารทรุดตัวหรือถล่มได้แบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถถตรวจจับการเคลื่อนตัวของมวลดินได้อย่างแม่นยำ หลังเกิดเหตุที่ถนนสามเสน ทีมวิจัยจึงได้ประสานการทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อนำอุปกรณ์ทิลท์มิเตอร์ (Tiltmeter) จำนวน 9 ตัว เข้าไปติดตั้ง ณ ณ อาคารทีปังกรรัศมีโชติ (อาคารผู้ป่วยนอก) โรงพยาบาลวชิรพยาบาล พร้อม IoT logger ที่สนับสนุนโดยกองทุน ววน. ร่วมกับ บริษัท กรีนกราวด์โซลูชั่นส์ จำกัด เพื่อรับข้อมูลจาก์ทิลท์มิเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และป้องกันได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมีแผนติดตั้งเพิ่มเติมบริเวณสถานีตำรวจนครบาลสามเสนด้วย” ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง ระบุ
ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ “เครื่องตรวจวัดสัญญาณการสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวต้นทุนต่ำ หรือ TUSHM” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อมรเทพ จิรศักดิ์จำรูญศรี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะ ที่เดิมได้ร่วมมือกับ กทม. ติดตั้งอุปกรณ์ TUSHM ไว้ด้านบนของอาคารเพชรรัตน์ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล และกำลังจะเข้าไปปรับปรุง ทั้งนี้ สกสว. จะสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ TUSHM เพิ่มเติมในกลุ่มอาคารต่าง ๆ ของโรงพยาบาลในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ถนนยุบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประเมินความเสี่ยงอาคารละ 2 จุด โดยนักวิจัยจะเร่งนำแผนงานเข้าหารือกับ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ต่อไป ขณะเดียวกันก็จะนำนวัตกรรมอุปกรณ์เลเซอร์สแกน 3 มิติ หรือไลดาร์ (Lidar) โดย รองศาสตราจารย์ ดร.พรหมพัฒน ธัญสิริชัยศรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะ รวมไปถึงเทคนิคธรณีฟิสิกส์ (Geophysical Investigation) เพื่อช่วยตรวจหาช่องว่างหรือการทรุดตัวที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวถนน สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโครงสร้างใต้ดินอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ข้อมูลที่ได้จะถูกนำไปวิเคราะห์ร่วมกับวิศวกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้วางแผนการซ่อมแซมเชิงป้องกัน ลดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน และช่วยยกระดับมาตรการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในระยะยาว
ในวันพรุ่งนี้ (26 ก.ย.) ทีมนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจะเข้าสำรวจสภาพความเสียหาย และผลกระทบโดยรอบโรงพยาบาลวชิรพยาบาล หลุมดินในพื้นที่อื่น ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบทั้งบนดินและใต้ดิน โดยใช้ Lidar สำรวจพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกับ วสท. (วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย) ต่อไป” ผู้อำนวยการ สกสว.กล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันเป็นที่สังเกตได้ว่าประเทศไทยต้องประสบภัยพิบัติรูปแบบต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ สกสว. จึงเห็นความจำเป็นในการยกระดับเพิ่มศักยภาพการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทย โดยอาจเริ่มจากการถ่ายโอนองค์ความรู้จากหน่วยงานต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ที่เคยประสบเหตุการณ์ถนนทรุดในหลายพื้นที่ แต่ด้วยระบบเฝ้าระวัง การวิเคราะห์เชิงวิศวกรรม และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ใช้รับมือกับภัยลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถแก้ไขและฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว กองทุน ววน. โดย สกสว. เป็นเครือข่ายกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency: JICA) หรือ ไจก้า และ Japan Science and Technology Agency (JST) ประสานเชิญนักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาให้คำปรึกษากับผู้ปฏิบัติงานของ กทม. ได้ อีกทั้งมีแผนจะจัดอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้จากต่างประเทศให้แก่นักวิจัยไทยเพื่อสร้างความเข้มแข็ง และเตรียมความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต คู่ขนานกับการเปิดช่องการสื่อสารของ สกสว. ทางรับฟังเสียงของประชาชน (Social Listening) เพื่อร่วมรายงานเหตุการณ์และความเสียหายเข้ามาที่ช่องทางเพื่อวางแผนช่วยเหลือร่วมกับนักวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
“กองทุน ววน. และ สกสว. มีองค์ความรู้ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะนำไปช่วยเหลือและสนับสนุนทั้งในสภาวะวิกฤติ ตลอดจนในภาวะปกติ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยขณะนี้ได้จัดทำนโยบายและมีแผนงาน P24 ที่รองรับการแก้ไขปัญหาและตอบสนองสภาวะวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ รวมทั้งมีงานวิจัยที่เชื่อมโยงแผนแม่บทในการป้องกันการทรุดตัวของผิวดินตามสภาวะการขุดเจาะชนิดต่าง ๆ รวมทั้งเตรียมการด้านองค์ความรู้ที่จะรองรับ และป้องกันโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป” ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง ระบุ.