1 ใน 5 เงื่อนไข การทำ MOA ระหว่าง พรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อแลกกับการโหวตให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคสีน้ำเงิน ได้ก้าวขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี คนที่ 32” นอกเหนือไปจากการกำหนดกรอบเวลาให้ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ต้องยุบสภาฯภายใน 4เดือนแล้ว

หัวใจสำคัญ ที่พรรคสีส้มต้องการเหนืออื่นใด ยังอยู่ที่การมี รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่คือรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ฉบับ 2560 อย่างแน่นอน  ด้วยเหตุนี้ พรรคภูมิใจไทยเอง ต้องแสดงความจริงใจให้ประจักษ์ว่า พร้อมที่จะนับหนึ่ง ให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยเช่นกัน

ความวิตกกังวลของพรรคประชาชน ถูกสะท้อนผ่าน “พริษฐ์ วัชระสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ  ของพรรค ที่มองว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งของ พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย นั้นต่างมี “ช่อง” ที่จะเกิดปัญหาตามมาด้วยกันทั้งสิ้น

โดยเฉพาะประเด็นที่มี “สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ” หรือส.ส.ร. ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากส.ส.ร.จะต้องมาทำหน้าที่เป็น “ผู้ร่าง” รัฐธรรมนูญฉบับใหม่  ทั้งนี้การมีส.ส.ร.ยังต้องย้อนกลับไปพิจารณาและ “คำนึง” ด้วยว่า ต้องไม่ขัดต่อ “คำวินิจฉัย” ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยมีขึ้นมาก่อนหน้านี้ ว่า “ไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง”

พริษฐ์ ย้ำว่าร่างของพรรคประชาชน ไม่มีส่วนใดที่จะขัดต่อคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ แน่นอน แต่ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตว่า โมเดล การได้มาซึ่ง ส.ส.ร. ทั้งของพรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ควร “เปิดกว้าง” ให้ประชาชน มีส่วนร่วมมากกว่านี้ 

และเหนืออื่นใด ยังพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะ “กินรวบ” ตามมา ด้วยการ “ผูกขาด” ส.ส.ร. ใน คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตามมาหรือไม่ ซึ่งจุดนี้อยู่ที่การออกแบบวิธีการที่รัฐสภาคัดเลือกบุคคลที่ถูกสรรหา

“ โมเดลของพรรคภูมิใจไทยใช้วิธีการคัดเลือกใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ซึ่งหากมีพรรคการเมืองหนึ่งมี สส.จำนวน 200 คน แล้วหากมี สว.แนวคิดคล้ายกัน 160 คน รวมเป็น 360 เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา 700 คน

หมายความว่า กลุ่มดังกล่าวสามารถผูกขาดการเลือกคนทำหน้าที่ ส.ส.ร.หรือ กรรมการยกร่างได้เลย ซึ่งเป็นความเสี่ยงในการผูกขาด จึงเป็นเหตุให้พรรคประชาชนออกแบบกระบวนการคัดเลือกของรัฐสภาอิงตามสัดส่วนพรรคการเมือง”  พริษฐ์ ระบุ (23 ก.ย.68)

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา โมเดลการตั้งส.ส.ร.ของพรรคภูมิใจไทย ถูกจับตามากที่สุด  ว่าจะนำไปสู่ “ส.ส.ร.สีน้ำเงิน” ซ้ำรอยกับการมี “สว.สีน้ำเงิน”  ที่กลายเป็น “กองกำลังหลัก” ของพรรคภูมิใจไทย เองในวุฒิสภาด้วยหรือไม่

เมื่อกลับไปดูโมเดล ของพรรคภูมิใจไทย ที่เสนอเอาไว้ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ  จะพบว่า ให้มี ส.ส.ร.จำนวน 99 คน และมีที่มาแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนหลัก มาจาก ตัวแทนจังหวัด 77 คน โดย ผู้สมัครจะต้องผ่านการคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในแต่ละจังหวัดก่อน

จากนั้นผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือก จะถูกส่งให้ รัฐสภา (ส.ส. และ ส.ว.) เป็นผู้ลงมติเลือก

ส่วนที่ 2 มาจากผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิ 22 คน เป็นสัดส่วนของผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ

โดยทั้ง 99 คน ที่ถูกเสนอชื่อ รัฐสภา เป็นผู้ลงมติเลือก และอย่าลืมว่า รัฐสภา หมายถึง สส.กับสว. ประกอบกัน ดังนั้นหากพรรคใด พรรคหนึ่ง สามารถ “คุมเสียง” ทั้งสส.และสว.เอาไว้ได้ โอกาสที่จะเกิดปัญหา “กินรวบ” ย่อมมีสูง

แน่นอนว่าโมเดลลักษณะเช่นนี้ กำลังทำให้ทั้งพรรคประชาชน ไปจนถึง “ศัตรู” อย่างพรรคเพื่อไทย เองกังวลว่า นอกจากพรรคภูมิใจไทยมี “สว.สีน้ำเงิน” เอาไว้ในมืออยู่แล้ว การเกิด “ส.ส.ร.สีน้ำเงิน” ย่อมเป็นไปได้ หากเป็นไปตามแนวทางของพรรคภูมิใจไทย