วิกฤตใหญ่ที่เกิดขึ้นบริเวณถนนสามเสน หน้าวชิรพยาบาล เขตดุสิต เกิดการทรุดตัวและดินไหลลงไปในอุโมงค์รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ สร้างความกังวลอย่างหนักต่อความปลอดภัยและผลกระทบต่ออาคารข้างเคียง โดยเฉพาะ สน.สามเสน ที่ตั้งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ
การรับมือกับวิกฤตนี้ของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กลายเป็นประเด็นที่สังคมจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยแนวทางแก้ปัญหาที่เลือกใช้คือ “กระสอบทรายกว่า 50,000 กระสอบ” หรือประมาณ 500 ลูกบาศก์เมตร เทลงไปเพื่อ “อุด” ช่องว่างที่ดินไหลออกไปก่อน
แต่เมื่อแนวทางการใช้กระสอบทรายถูกเผยแพร่ออกไป ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียล หลายเสียงมองว่าเป็นวิธีที่ “บ้าน ๆ” ไม่สมกับเป็นงานวิศวกรรมขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธเนศ วีระศิริ ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันแนวทางการจัดการวิกฤตดังกล่าว โดยระบุว่า การใช้ถุงทรายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากมี ความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวเข้ากับรูปทรงของช่องว่างได้ดี อีกทั้ง จัดการง่าย สามารถลำเลียงและติดตั้งได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน
วิธีนี้ยังเป็นมาตรการที่เคยใช้มาแล้วในหลายเหตุการณ์ เช่น การรับมือแผ่นดินไหว หรือ การอุดน้ำรั่วในอุโมงค์ ซึ่งถือว่ามีความน่าเชื่อถือในเชิงวิศวกรรม
ผศ.ธเนศ ย้ำว่า การดำเนินการขณะนี้ถือว่า “เริ่มต้นมาถูกทางและทำงานได้เร็ว” โดยแผนต่อไปคือการหาข้อสรุปในการ ก่อคอนกรีตเสริมภายในหลุม เพื่อเสริมความมั่นคงถาวร
อีกด้านหนึ่ง ญี่ปุ่นได้พัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับถุงทรายเพื่อใช้ในการรับมือภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ถุงทรายแบบดูดน้ำ (Water-absorbing Sandbag) ที่บรรจุวัสดุโพลิเมอร์ไว้ภายใน เมื่อนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นถุงทรายขนาด 10 กิโลกรัมภายใน 90 วินาที เหมาะสำหรับการป้องกันน้ำท่วมบริเวณหน้าประตูบ้านหรือทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินได้อย่างรวดเร็วในภาวะฉุกเฉิน
ดังนั้น การตัดสินใจใช้ถุงทรายจำนวนมหาศาลเพื่อ “อุดช่อง” ที่ทำให้ดินไหลและควบคุมน้ำไม่ให้เข้าไปทำลายอุโมงค์ จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดหลักการ หากแต่เป็น แนวทางเชิงวิศวกรรมที่เน้นความเร็ว ความยืดหยุ่น และการหยุดวิกฤตแบบเร่งด่วน ซึ่งเป็นหลักการที่นักวิศวกรรมทั่วโลก รวมถึงญี่ปุ่น ใช้ในการจัดการกับปัญหาดินทรุดตัวและน้ำไหลในโครงสร้างใต้ดิน
#ชัชชาติสิทธิพันธุ์ #สามเสน #น้ำทะลัก #ถุงทราย