เปิดมุมมอง 2 สภา ปมบุหรี่ไฟฟ้าที่เห็นต่างขณะที่บทบาทของคณะรัฐมนตรีใหม่กำลังเริ่มต้น และการต่อสู้ของพรรคการเมืองใหญ่ 3 พรรค คือพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชนในสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นไปอย่างเข้มข้น บทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติอย่างวุฒิสภากลับชัดเจนขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์ของฝ่ายบริหารจะเป็นอย่างไร วุฒิสภาหรือ “สว.” ก็ทำหน้าที่ต่อไปได้
มีการนำเสนอรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการ วุฒิสภา ในหลายหัวข้อ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจใต้ดิน” เช่น “บุหรี่ไฟฟ้า” และ “กาสิโน” ซึ่งดูจะเป็นเรื่องเทา ๆ ที่รัฐบาลเพื่อไทยพยายามจะผลักดันให้มีกฎหมายควบคุมเพื่อแก้ปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการไร้ซึ่งกฎหมายกำกับดูแลมานาน แต่ดูเหมือนว่าการขยับของสว. ครั้งนี้ จะกลายเป็นตัวแทนที่มาหักล้างนโยบายของรัฐบาลเดิม มากกว่าจะผลักดันให้ประเทศก้าวหน้าและประชาชนยิ้มได้อย่างที่ควรจะเป็นทั้งๆ ที่ยังคงมีคำถามถึงที่มาของ สว.และความยึดโยงกับประชาชน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องร้อนในเวทีสว. หนีไม่พ้นรายงานการศึกษาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าจาก คณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา และ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย สภาผู้แทนราษฎร แสดงให้เห็นถึงความเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับแนวทางการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในไทย โดยรายงานของ สว. ยังคงยืนยันให้ ห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าโดยเด็ดขาด (Total Ban) ต่อไป ขณะที่รายงานของ สส. เสนอให้ มีทางเลือกในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมาย เนื่องจากประเทศไทยมีการแบนบุหรี่ไฟฟ้ามามากกว่า 10 ปี แต่ยังคงเผชิญปัญหาการลักลอบนำเข้าและขายที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม โดยเฉพาะกับเยาวชน การที่รายงานทั้งสองชุดมีข้อสรุปเชิงนโยบายที่สวนทางกันเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้ายังคงไร้ทิศทางและไร้คำตอบที่ชัดเจน
รายงานจากสภาผู้แทนราษฎร มีมุมมองที่ตระหนักถึงข้อกังวลเรื่องผลเสียต่อสุขภาพและการเข้าถึงของเยาวชน แต่ชี้ให้เห็นว่าการห้ามเด็ดขาดไม่สามารถแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายได้ และทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษี รายงานจึงเสนอให้ อนุญาตให้มีการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างถูกกฎหมาย ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวด โดยทางเลือกนี้ได้รับการสนับสนุนโดยคณะกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่เช่นพรรคประชาชน เช่น การควบคุมปริมาณนิโคติน การจำกัดการเข้าถึงของเยาวชน และการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นแนวทางที่ใกล้เคียงกับประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง เช่น สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ ยุโรป สหรัฐอเมริกา ที่เปิดโอกาสให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกสำหรับผู้สูบบุหรี่
ในทางกลับกัน รายงานจากฝั่งวุฒิสภา มีแนวคิดหลักที่เน้นการปกป้องสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนเป็นสำคัญ และมองว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยคุกคามใหม่ที่ต้องควบคุมอย่างเข้มงวด โดยอ้างอิงข้อมูลที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคตินและสารเคมีอื่น ๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และอาจเป็น “ประตูสู่การเสพติด” สำหรับผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน และย้ำว่าแนวทางนี้สอดคล้องกับมาตรการขององค์การอนามัยโลก (WHO)
ความเห็นที่ขัดแย้งกันนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงมีแนวคิดที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในการจัดการกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับว่าแนวคิดใดมีอิทธิพลต่อผู้กำหนดนโยบายสาธารณะและผู้กำหนดนโยบายสาธารณะเป็นใคร ซึ่งจะมีผลทำให้การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้ายังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไขที่ตรงจุด
ประเด็นที่น่าจับตามองคือบทบาทขององค์กรด้านสุขภาพ ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อรายงานของวุฒิสภา องค์กรเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลและสร้างความตระหนักถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า โดยมักเน้นย้ำความเสี่ยงต่อสุขภาพของเยาวชน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สอดคล้องกับรายงานของ กมธ. จาก วุฒิสภา อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม บทบาทขององค์กรเหล่านี้อาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเข้าข่าย “การล็อบบี้” หรือการใช้อิทธิพลในการผลักดันนโยบายให้เป็นไปในทิศทางที่ตนเองต้องการเพียงด้านเดียว การที่รายงานของวุฒิสภามีข้อสรุปที่สอดคล้องกับแนวทางขององค์กรสายสุขภาพอย่างชัดเจน ทำให้เกิดคำถามว่าการตัดสินใจดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้านเพียงพอหรือไม่ หรือมีอิทธิพลทางอุดมการณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง บทบาทนี้จึงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะการผลักดันที่แข็งกร้าวจากมุมมองสุขภาพเพียงด้านเดียวอาจทำให้ขาดการพิจารณาทางเลือกและผลกระทบในมิติอื่น ๆ ที่ซับซ้อน เช่น การแก้ปัญหาการทุจริต การเข้าถึงสินค้าผิดกฎหมายของเยาวชนผ่านช่องทางต่าง ๆ และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สร้างตลาดมืด ตลาดใต้ดิน ที่ไม่ได้ถูกนำมาประกอบการพิจารณา
รายงานทั้งสองฉบับต่างนำเสนอข้อเท็จจริงจากมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระหว่างมุมมองอนุรักษ์นิยมผ่านเครือข่ายบุคคลกรด้านสุขภาพกับแนวทางการผ่อนปรนเพื่อเปิดทางเลือกให้ผู้สูบบุหรี่ได้มีสิทธิเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นทางเลือกนอกจากการสูบบุหรี่ ในสังคมไทย จุดยืนที่แตกต่างกันนี้ทำให้การควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในไทยยังคงไร้ประสิทธิภาพ และยังคงเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพเยาวชนและสร้างปัญหาสังคมต่อไป และตอกย้ำว่าประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหานี้ต่อไปโดยไร้ทางออกที่ยั่งยืน