วันที่ 23 กันยายน 2568 สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้โพสต์เฟซบุกในช่วงเย็นวันเดียวกัน ระบุว่า
" ความจริงแล้วผมไม่อยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับไทย ในขณะนี้ ซึ่งกำลังได้รับการประสานภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง เพื่อให้มั่นใจว่า ชีวิตของทหารและประชาชนจะไม่ต้องสูญเสียหรือได้รับบาดเจ็บ และเพื่อปกป้องทรัพย์สินของทั้งรัฐบาลและเอกชน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกทำลายในกรณีที่สงครามปะทุขึ้นอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ผมต้องการจะพูดถึงคือ เรื่องของการเปิดด่านชายแดนกัมพูชา-ไทย ซึ่งช่วงที่ผ่านมา เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมาก ฝั่งกัมพูชาส่วนใหญ่ เป็นการถกเถียงกันในหมู่พี่น้องผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ขณะที่นักการเมือง ผู้บัญชาการกองกำลังติดอาวุธ และฝ่ายบริหารพลเรือน ไม่มีใครออกมาพูดเลย หากมองไปยังฝั่งไทย จะเห็นว่า ทุกระดับส่งเสียงออกมาพูดกันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่บนลงล่าง โดยพูดถึงแต่การปิดพรมแดนเป็นหลัก
ตั้งแต่กองทัพไทยปิดพรมแดนโดยฝ่ายเดียวมา กัมพูชาไม่เคยร้องขอให้ฝ่ายไทยเปิดด่านอีกเลย เพียงแต่แจ้งแก่ฝ่ายไทยว่า “ไทยเป็นผู้ปิด ไทยเป็นผู้เปิด”, ไม่จำเป็นต้องเจรจากับกัมพูชา และกัมพูชาจะเปิดตามมาช้าได้ถึง 5 ชั่วโมง
จุดยืนของกัมพูชานั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง และกัมพูชาก็จะไม่ยอมอ่อนข้อไปขอให้ไทยเปิดด่าน ซึ่งไทยอาจจะต้องปิดต่อไปอีกเป็นร้อยปี แต่กัมพูชาจะไม่ล่มสลาย
ผมควรขอขอบคุณไทยด้วยซ้ำ ที่การปิดพรมแดนฝ่ายเดียวดังกล่าว ทำให้สินค้านำเข้าจากไทยไม่สามารถเข้ามาได้ ส่งผลให้สินค้าที่ผลิตในประเทศกัมพูชาก้าวหน้าอย่างมาก ประชาชนกัมพูชาผู้รักชาติร่วมใจกันสนับสนุนการใช้สินค้าภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
หลังผ่านไปกว่า 3 เดือนโดยปราศจากสินค้าไทย ตลาดในกัมพูชามีเสถียรภาพ มีสินค้าอุปโภคบริโภคเพียงพอ และอัตราเงินเฟ้อต่ำ ทั้งในแง่แยกรายการและในภาพรวม ระบบเศรษฐกิจมหภาคถูกบริหารจัดการได้ดี
สำหรับคำร้องจากญี่ปุ่นที่ลงทุนทั้งในไทยและในกัมพูชา และจำเป็นต้องขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนกัมพูชา-ไทย ผมขอให้ญี่ปุ่นประสานงานกับฝ่ายไทยโดยตรง เพราะฝ่ายกัมพูชาได้ให้ความยินยอมไว้แล้ว
สุดท้าย ผมขอเรียกร้องพี่น้องประชาชนให้อดทน และให้โอกาสรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีต่อไป เพราะเราไม่อาจใช้สงครามเพื่อยุติสงครามได้"