สมรภูมิการเมืองแทบไม่เคยมีช่วงเวลาที่เงียบสงบ ซึ่งการเลือกตั้งซ่อม สส. จังหวัดศรีสะเกษ เขต 5 ในวันที่ 28 กันยายน 2568 นี้ คือการวัดพลังทางการเมืองครั้งสำคัญ ที่ไม่อาจมองข้ามได้แม้แต่วินาทีเดียว !
เนื่องจากสนามเลือกตั้งแห่งนี้ได้แปรสภาพเป็นเวทีปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างสองขั้วอำนาจหลัก นั่นคือ พรรคเพื่อไทย และ พรรคภูมิใจไทย ซึ่ง ณ ชั่วโมงนี้ นับเป็น "คู่ศัตรูทางการเมือง" ที่ดุเดือดมากที่สุด
พื้นที่เขต 5 ศรีสะเกษ นับเป็น "ฐานเสียงเดิม" ของพรรคเพื่อไทย มาช้านาน ผู้สมัครของพรรคในครั้งนี้คือ ภูริกา สมหมาย บุตรสาวของ อมรเทพ สมหมาย อดีต สส. ผู้ล่วงลับ ขณะที่ฝ่าย "สีน้ำเงิน" พรรคภูมิใจไทย ส่ง จินณ์ตวรรณ ไตรสรณกุล ลงชิงชัย
อย่างไรก็ตาม สังเกตได้ว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ไม่ใช่ "โจทย์ง่าย" สำหรับพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป ปัจจัยที่เปลี่ยนเกมและสร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงคือ "พิษ" ที่เกิดจากปัญหา "คลิปเสียง" การสนทนาของ แพทองธาร ชินวัตร กับ สมเด็จ ฮุน เซน เหตุการณ์นี้มิใช่แค่ประเด็นการเมือง แต่ได้บานปลายกลายเป็น "คดีใหญ่" ที่ส่งผลให้ แพทองธาร ต้องพ้นจากตำแหน่ง นายกฯคนที่ 31 ของประเทศไปแล้ว
แน่นอนว่า แรงสั่นสะเทือนจากเรื่องคลิปเสียงฮุน เซน ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยถูก โจมตีอย่างรุนแรง และเมื่อผสานเข้ากับสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณ ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งคุกรุ่นมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว ยิ่งทำให้สถานการณ์ทั้งหมดนี้กลายเป็น ผลในทาง "ลบ" ต่อตัวผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยเองคือ ภูริกา สมหมาย อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
พรรคภูมิใจไทยจึงฉวยโอกาสนี้ในการเปิดเกมรุกอย่างเต็มที่ โดยล่าสุดเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ได้ ยกพลพรรคสีน้ำเงิน ลงพื้นที่เพื่อช่วย จินณ์ตวรรณ หาเสียงอย่างคึกคัก กลยุทธ์การหาเสียงของแกนนำภูมิใจไทยมิได้จำกัดอยู่แค่การกล่าวถึงคุณสมบัติของผู้สมัคร แต่ยังรวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ "รัฐบาลชุดที่แล้ว" โดยเน้นย้ำไปที่ประเด็นชายแดน และการตอกย้ำเรื่อง "คลิปเสียงฮุน เซน" อย่างชัดเจน
สถานการณ์นี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2566 ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดย กวาด สส.ศรีสะเกษ มาได้เกือบยกจังหวัด ภายใต้แคมเปญ "ไล่หนู ตีงูเห่า" แต่สำหรับศึกซ่อม 28 กันยายนนี้ "พิษ" จากคลิปเสียงและปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ได้กลายเป็น "จุดอ่อน" ที่สำคัญของพรรคเพื่อไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้
หากพรรคเพื่อไทยต้องพ่ายแพ้ในสนามที่เคยเป็นฐานเสียงของตนเอง จะถือเป็นความเสียหายทางการเมืองที่มีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าการสูญเสียเก้าอี้เพียงหนึ่งเดียว!
ประการที่หนึ่ง คือการยืนยันความรุนแรงของ "พิษคลิปเสียง" ความพ่ายแพ้จะยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมว่า ปัญหาคลิปเสียงฮุน เซน ซึ่งได้ส่งผลให้ แพทองธาร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ นั้น มีผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงและเป็นจริง ต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่ฐานเสียงเดิม
ประการต่อมา การลดลงของพลังทางการเมือง การไม่สามารถ "ฝ่าด่านศึกสนามศรีสะเกษ" ที่เคยชนะขาดได้ จะส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า พลังทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญกำลังลดลง และจุดอ่อนที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงจนบดบังความสำเร็จในอดีต
ประการสุดท้าย คือการเสริมอำนาจ "ศัตรูที่ดุเดือด" ชัยชนะของพรรคภูมิใจไทยจะถูกตีความว่าเป็นการประสบความสำเร็จในการใช้ประเด็นระดับชาติที่อ่อนไหวมาแย่งชิงฐานเสียงได้สำเร็จ และยิ่ง ตอกย้ำสถานะการเป็น "ศัตรูทางการเมืองที่ดุเดือดที่สุด" ที่พร้อมจะช่วงชิงอำนาจในสนามอื่น ๆ ต่อไป
ถึงแม้ แพทองธาร จะได้ประเมินสถานการณ์ต่อสื่อแล้วย้ำว่าพรรคจะ "สู้เต็มที่" และกำลังรอการประสานกำหนดการลงพื้นที่ช่วยหาเสียง แต่การแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบสำคัญว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถจำกัดความเสียหายที่เกิดจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองระดับชาติในฐานเสียงของตนเองได้หรือไม่ !?
#คลิปเสียงฮุนเซน #เพื่อไทย #ภูมิใจไทย #ศรีสะเกษ #เลือกตั้งซ่อม