ภาพมวลน้ำเหนือที่ไล่เรียงลงมาในหลายจังหวัดจนถึงประตูหน้าด่านอย่าง จ.พระนครศรีอยุธยา ได้สร้างความกังวลให้แก่ชาวกรุงเทพมหานครไม่น้อย ในฐานะเมืองหลวงซึ่งเป็นพื้นที่สุดท้ายที่แม่น้ำเจ้าพระยาจะไหลผ่านก่อนลงสู่อ่าวไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์และการจัดการน้ำในภาพรวม พบว่ากรุงเทพฯ มีแนวรบในการรับมือที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก
แนวรบตะวันตก: ปราการริมเจ้าพระยายังแข็งแกร่ง
สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ซึ่งเขตส่วนใหญ่อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำเจ้าพระยา ความท้าทายหลักคือการรับมือกับระดับน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้นจากมวลน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ปล่อยลงมา แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน "ยังไม่น่ากังวล" ด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการ
ประการแรก คันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดแนวมีความสูงและแข็งแรงกว่าในอดีตมาก โดยมีความสูงตั้งแต่ 3.50 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.ทรก.) ในช่วงสะพานพระราม 7 และไล่ระดับลงมาถึง 2.80 ม.ทรก. ในเขตบางนา รวมระยะทางยาวกว่า 88 กิโลเมตร หากเทียบกับสถิติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ที่ระดับน้ำเจ้าพระยาขึ้นสูงสุดที่ 2.53 ม.ทรก. จะเห็นว่าคันกั้นน้ำในปัจจุบันยังสามารถรองรับได้อีกมาก
ประการที่สอง ศักยภาพการรับน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกประเมินไว้ที่จุดวิกฤตประมาณ 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) ขณะที่ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ก.ย. 2568) เขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำอยู่ที่เพียง 2,200 ลบ.ม./วินาที เท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าจุดวิกฤตอยู่พอสมควร
นอกจากนี้ ในจุดที่คันกั้นน้ำอาจมีรอยรั่วหรือยังก่อสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ก็ได้มีการเตรียมพร้อมโดยจัดเรียงกระสอบทรายเสริมแนวป้องกันไว้แล้วมากกว่า 196,000 กระสอบ ทำให้แนวรบด้านตะวันตกมีความพร้อมในการรับมืออยู่ในระดับสูง
สมรภูมิตะวันออก: โจทย์ซับซ้อนของ "น้ำรอระบาย"
ในทางกลับกัน พื้นที่ฝั่งตะวันออกยังคงเป็นพื้นที่ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ "เขตลาดกระบัง" ซึ่งเปรียบเสมือนอ่างรับน้ำสุดท้ายของฝั่งตะวันออก ที่ต้องรองรับน้ำซึ่งไหลบ่าต่อเนื่องมาจากเขตคลองสามวา หนองจอก และมีนบุรี ความท้าทายของฝั่งตะวันออกคือระบบการระบายน้ำที่ซับซ้อนและมีข้อจำกัด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก
ส่วนแรก การระบายน้ำผ่านคลองประเวศบุรีรมย์: เป็นเส้นทางระบายน้ำสายหลัก แต่ต้องใช้การสูบน้ำย้อนกลับเป็นระยะทางไกลกว่า 40 กิโลเมตร เพื่อไปออกที่ประตูระบายน้ำพระโขนง ก่อนจะลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากคลองประเวศฯ มีลักษณะที่คดเคี้ยว ทำให้การเดินทางของน้ำเป็นไปได้ช้าและต้องอาศัยเครื่องสูบน้ำกำลังสูง
ส่วนที่สอง การระบายออกสู่จังหวัดข้างเคียง: น้ำอีกส่วนจะถูกระบายไปยัง จ.สมุทรปราการ ผ่านคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิตและคลองสำโรง และระบายสู่แม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ผ่านประตูระบายน้ำท่าถั่ว ซึ่งบริหารจัดการโดยกรมชลประทาน แต่ในภาวะที่พื้นที่เพื่อนบ้านมีปริมาณน้ำสูงอยู่แล้ว การระบายน้ำเส้นทางนี้จะทำได้จำกัด ทำให้ต้องพึ่งพาการระบายผ่านประตูน้ำพระโขนงเป็นหลัก
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้พื้นที่ฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะเขตลาดกระบัง มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา "น้ำรอระบาย" หากมีพายุพัดผ่านหรือมีฝนตกหนักลงมาซ้ำเติมในช่วง 40 วันที่เหลือก่อนสิ้นสุดฤดูฝน
ภาพใหญ่เหนือน้ำ: กลไกจัดการน้ำจากต้นทางยังทำงานได้ดี
อย่างไรก็ดี เมื่อมองภาพใหญ่ขึ้นไปถึงต้นทางของน้ำที่จะไหลเข้าสู่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก พบว่ายังมีกลไกสำคัญที่ช่วยชะลอและผันน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งรับน้ำมาจากทางเหนือและเชื่อมต่อกับพื้นที่กรุงเทพฯ ตะวันออกผ่านคลองระพีพัฒน์ ทำหน้าที่เป็นด่านแรกในการตัดยอดน้ำ โดยน้ำส่วนใหญ่จากเขื่อนจะถูกผันไปยัง เขื่อนพระราม 6 เพื่อระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาโดยตรง
น้ำส่วนที่เหลือจะถูกปล่อยมาทาง คลองระพีพัฒน์ ซึ่งปัจจุบันมีน้ำไหลผ่านเพียง 47 ลบ.ม./วินาที จากความจุที่รับได้ 80 ลบ.ม./วินาที ไม่เพียงเท่านั้น มวลน้ำในคลองระพีพัฒน์ยังถูก คลองรังสิต ที่ตัดขวางอยู่ช่วยแบ่งน้ำออกไปอีกทอดหนึ่ง โดยระบายออกทั้งฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางปะกง ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว มีน้ำไหลลงมาถึง คลอง 13 ในเขตหนองจอกของกรุงเทพฯ เพียง 17-18 ลบ.ม./วินาที เท่านั้น ด้วยกลไกการบริหารจัดการน้ำจากต้นทางที่กล่าวมา จึงทำให้สถานการณ์น้ำเหนือที่จะกระทบกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกโดยตรงยังไม่น่าเป็นห่วงนัก
โดยสรุป แม้สถานการณ์น้ำในกรุงเทพมหานคร ณ ขณะนี้จะยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ยังคงอยู่ในภาวะที่ต้อง "เฝ้าระวัง" อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในอีก 40 วันสุดท้ายของฤดูฝน ซึ่งตัวแปรสำคัญที่สุดคือ "พายุ" ที่อาจก่อให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ จนทำให้ศักยภาพการระบายน้ำที่มีอยู่ โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออก ถึงขีดจำกัดได้ทุกเมื่อ