ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช รองประธานคณะกรรมาธิการอากาศสะอาด พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 วันที่ 24 กันยายน 2568 ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ร่างกฎหมายจะผ่านการพิจารณาแล้วส่งต่อขึ้นวุฒิสภา และอาจประกาศใช้ได้ก่อนสิ้นปีนี้ แม้จะไม่ทันช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่นพิษในปีปัจจุบัน แต่การมีกฎหมายเฉพาะด้านถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะที่ผ่านมาไทยยังไม่เคยมีกฎหมายจัดการ PM2.5 โดยตรงมาก่อน
ร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการมลพิษภายในประเทศ และใช้เป็นฐานในการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเรื่องฝุ่นข้ามพรมแดน โดยข้อมูลชี้ว่า ประมาณ 23.7% ของฝุ่นในประเทศไทยมาจากแหล่งภายนอก ขณะเดียวกันฝุ่นจากไทยก็ลอยส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านได้เช่นกัน หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ ผู้กระทำความผิดจะถูกลงโทษทั้งปรับและจำคุก คล้ายการใช้กฎหมายของสิงคโปร์ในการต่อรองกับอินโดนีเซียเรื่องการเผาพื้นที่เกษตรกรรม
อย่างไรก็ตาม ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญมีข้อเสนอให้ตัดหมวด 6 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่จัดตั้ง “กองทุนอากาศสะอาด” ออกไป ซึ่งร.ต.อ.วัฒนรักษ์แสดงความกังวลว่า หากไม่มีกองทุนดังกล่าว กฎหมายจะขาดกลไกทางการเงินที่จำเป็นในการทำให้การจัดการอากาศสะอาดเป็นรูปธรรม และเท่ากับเป็นการลิดรอนสิทธิพื้นฐานในการหายใจอากาศบริสุทธิ์ของประชาชน
รองประธานกรรมาธิการฯ ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อเสนอการตัดกองทุนออกมาจากตัวแทนของอดีตรัฐมนตรีบางคนซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยแสดงความเห็นคัดค้านในที่ประชุม ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญแสดงความวิตกว่า การตัดหมวดกองทุนออกไปจะทำให้กฎหมายไร้ฟันและมิอาจบรรลุผลตามเจตนารมณ์ นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงประเด็นทางการเมืองว่า อาจเป็นการสะท้อนเจตจำนงของอดีตรัฐบาลหรืออดีตนายกรัฐมนตรีที่ไม่รักษาคำมั่นในการแก้ปัญหามลพิษ
“ถ้าไม่มีกองทุนอากาศสะอาด กฎหมายจะเหลือเพียงชื่อ แต่ไร้ฟัน ไม่มีเขี้ยว และคนไทยยังคงต้องสูดอากาศพิษโดยไร้ทางเลือก” ร.ต.อ.วัฒนรักษ์กล่าว พร้อมย้ำความสำคัญของกองทุนว่าเป็นกลไกที่จะช่วยให้การแก้ปัญหามลพิษเป็นไปได้จริงและยั่งยืน
#พรกอากาศสะอาด #กองทุนอากาศสะอาด #PM25 #พลังประชารัฐ #สิ่งแวดล้อม #ฝุ่นพิษ #ข่าวการเมือง #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ข่าววันนี้