หากเอ่ยถึง “ดอกไม้” ในสังคมไทยและล้านนา ภาพแรกที่มักปรากฏในใจของผู้คนคือความงามอันบริสุทธิ์ สดชื่น และหอมละมุนที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น แต่สำหรับคนโบราณแล้ว ดอกไม้หาได้มีเพียงคุณค่าทางความงามเท่านั้น หากยังเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับโลกแห่งความเชื่อและมิติทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งกว่า โดยเฉพาะในวัฒนธรรมล้านนา ที่การใช้ดอกไม้ในวิถีชีวิตประจำวันถือเป็นสิ่งที่แฝงไปด้วยนัยทางพิธีกรรมและคติความเชื่ออันลึกซึ้ง  แต่เดิมสตรีล้านนาจะนิยมเกล้าผมมวย และเหน็บดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอมไว้บนศีรษะ อันเป็นการกระทำที่เรียกว่า “บูชาขวัญหัว” เพราะในคติความเชื่อของกลุ่มชาวไท/กะได  เชื่อว่ามนุษย์เรามี 32 ขวัญ ซึ่งแต่ละขวัญเป็นพลังชีวิตที่หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจ ขวัญหัวจึงถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด การประดับดอกไม้หอมบนเกล้ามวยผมจึงไม่ใช่เพียงการเสริมความงดงามทางกายภาพ หากยังเป็นการแสดงออกถึงการดูแลพลังชีวิต สร้างสิริมงคล และความร่มเย็นให้แก่ผู้ประดับ การเหน็บดอกไม้จึงเป็นทั้งการชื่นชมความงามของธรรมชาติ และการสื่อสารกับมิติทางจิตวิญญาณไปพร้อมกัน

แบรนด์ “มาลากาญจน์” ออกแบบและสร้างสรรค์ดอกไม้ไหว  ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัลยา เนื่องในวโรกาสให้คณะบุคคล เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เนื่องในงานประชุม APEC 2022 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

เมื่อกาลเวลาผ่านไป ค่านิยมและรสนิยมทางสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย การใช้ดอกไม้สดซึ่งร่วงโรยไปตามกาลเวลา จึงได้รับการต่อยอดและแปรเปลี่ยนเป็นการประดิษฐ์ดอกไม้ไหวประดับมวยผม ที่ทำจากวัสดุอันคงทนและทรงคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นทองเหลือง เงิน ทอง หรือโลหะมีค่าอื่น ๆ ดอกไม้โลหะเหล่านี้มิได้มีเพียงความงามเทียมธรรมชาติ แต่ยังสื่อถึงรสนิยม ฐานะ และความหรูหราของผู้ครอบครอง จึงเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง เจ้านาย หรือคหบดีผู้มั่งคั่ง ยิ่งเมื่อมีการประดับด้วยแก้ว พลอย หรืออัญมณี ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะความงามที่ผสมผสานกับการแสดงออกถึงสถานะทางสังคม ในบรรดางานประดิษฐ์เหล่านี้ “ดอกไม้ไหว” ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนการพัฒนาต่อยอดจากรากฐานทางวัฒนธรรม สู่การสร้างสรรค์ใหม่ในเชิงโลหะศิลป์และหัตถศิลป์ ดอกไม้ไหวไม่เพียงแต่เป็นดอกไม้โลหะที่แข็งกระด้าง หากแต่ผ่านกระบวนการเชิงช่างอันประณีต ทั้งการตัด การดัด การจีบ และการดุนโลหะ ให้กลายเป็นรูปทรงที่อ่อนช้อย พริ้วไหวดั่งมีชีวิต เมื่อเคลื่อนไหวตามแรงลม หรือเมื่อผู้ประดับเคลื่อนกาย ดอกไม้โลหะก็พลิ้วไหวเสมือนมีชีวิตชีวา

ถ่ายทอดความงามละเมียดละไมของภูมิปัญญาไทยให้ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก

ความงามนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น หากยังแฝงไปด้วยนัยทางนามธรรม การที่ดอกไม้โลหะสามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งสิ่งมีชีวิต เปรียบได้กับการสะท้อน “พลังชีวิต” ที่ยังคงดำรงอยู่ ดอกไม้ไหวจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว ความมีชีวิตชีวา และการดำรงอยู่ของมนุษย์ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในอีกมิติหนึ่ง ดอกไม้ไหวเป็นตัวอย่างอันงดงามของการนำ “ทุนทางวัฒนธรรม” มาต่อยอดให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่ ตอบสนองต่อแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มุ่งเน้นการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะในเชิงเศรษฐกิจหรือสังคม ที่ธำรงรักษาความหมายทางวัฒนธรรมให้ยังคงอยู่ในวิถีชีวิตร่วมสมัย หากมองอย่างละเอียด ดอกไม้ไหวได้ทำหน้าที่เสมือนสะพานที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน ดอกไม้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงสิ่งธรรมชาติที่สตรีเหน็บไว้เพื่อบูชาขวัญหัว ได้ถูกตีความใหม่ผ่านฝีมือเชิงช่าง และกลายเป็นงานศิลป์ที่มีคุณค่าทั้งในฐานะเครื่องประดับ ของตกแต่ง และมรดกทางวัฒนธรรม การมีอยู่ของดอกไม้ไหวในโลกปัจจุบันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความงามที่ไม่รู้โรยรา หากยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งการตีความใหม่ที่ช่วยให้ภูมิปัญญาโบราณยังคงหายใจอยู่ในโลกสมัยใหม่

ปิ่นดอกไม้ไหวแซมเกล้า

ปิ่นดอกไม้ไหวแซมเกล้า

ปิ่นดอกไม้ไหวแซมเกล้า เครื่องประดับสไตล์ล้านนา

ดอกไม้ไหว ประดับกระจกเกรียบ (แก้วจืน)

การจัดแสดงสินค้าในงาน “อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 16” โดยสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)

การตระหนักถึงคุณค่าของดอกไม้ไหว จึงมิใช่เพียงการชื่นชมความงามเท่านั้น แต่คือการเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาและการสืบทอดทางวัฒนธรรมที่มีความหมาย การประดับดอกไม้ไหวไว้บนเกล้ามวยผม หรือแม้แต่การจัดวางไว้เป็นของตกแต่งในบ้าน ล้วนเป็นการสื่อสารกับอดีต เชื่อมโยงกับรากเหง้า และย้ำเตือนให้ผู้คนในสังคมเห็นถึงพลังของความเชื่อและศิลปะที่ผสมผสานกันอย่างงดงาม ดังนั้น “ดอกไม้ไหว” จึงไม่ใช่เพียงเครื่องประดับ หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งการสืบทอดภูมิปัญญา เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของคนรุ่นก่อนที่เชื่อมโยงสู่คนรุ่นหลัง และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่ยังคงหยั่งรากอยู่บนผืนวัฒนธรรมไทยและล้านนา ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า ซึ่งคนรุ่นหลังควรตระหนัก อนุรักษ์ และต่อยอดให้ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน

สร้างสรรค์ต่อยอดผลิตภัณฑ์ในรูปแบบพวงมาลัย แรงบันดาลใจจากดอกไม้ตามธรรมชาติ

การจัดแสดงสินค้าในงาน “อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 16” โดยสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)

ในยุคที่กระแสแห่งการอนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาพื้นถิ่นกำลังเบ่งบานอย่างแข็งแกร่ง ชื่อของ คุณนวภัสร์ ตันติคุณาวงศ์  Creative Director แบรนด์ "มาลากาญจน์" ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานหัตถศิลป์ "ดอกไม้ไหว" สู่มิติใหม่แห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผสานความงามแบบดั้งเดิมเข้ากับสุนทรียภาพร่วมสมัย เพื่อให้ดอกไม้ไหวกลับมามีชีวิตชีวาและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้อีกครั้ง

ต้นไม้ทอง สำหรับใช้เป็นเครื่องสักการะบูชา

ในรูปแบบที่แปลกใหม่และทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบให้มีขนาดเล็กลง เหมาะสำหรับการประดับผมในชีวิตประจำวันหรือในโอกาสพิเศษที่ไม่ต้องการความโอ่อ่าจนเกินไป การประยุกต์ใช้ดอกไม้ไหวเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับอื่นๆ เช่น ต่างหู เข็มกลัด หรือแม้กระทั่งสร้อยคอ ทำให้ดอกไม้ไหวสามารถใช้ได้หลากหลายสถานการณ์มากขึ้น นอกจากนี้ การเลือกใช้สีสันและอัญมณีที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีรสนิยมหลากหลายอีกด้วย

คุณนวภัสร์ ตันติคุณาวงศ์  Creative Director แบรนด์ “มาลากาญจน์”

ความสำเร็จของ "มาลากาญจน์" ในการขับเคลื่อนดอกไม้ไหวสู่ตลาดร่วมสมัย ส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมคุณค่าของงานศิลปหัตถกรรมไทย SACIT ได้เข้ามามีบทบาทในการผลักดัน "มาลากาญจน์" ผ่านโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ และการเปิดช่องทางการตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ การสนับสนุนนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ "มาลากาญจน์" เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ยังเป็นการยืนยันถึงคุณค่าของ "ดอกไม้ไหว" ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่สามารถต่อยอดสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างเป็นรูปธรรม