วันที่ 19 ก.ย.68 นายวรวุฒิ ชัยธนะวิวรรธ  ผู้ช่วย สส. ฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล พรรคประชาชน โพสต์ข้อความระบุว่า ผมได้อ่านบทวิเคราะห์ของคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ด้วยความสนใจ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ท่านกำลังมองการเมืองปัจจุบันผ่าน "กระจกบานเก่า" ที่เต็มไปด้วยฝุ่นแห่งความคุ้นชินแบบเดิมๆ จนอาจทำให้ภาพที่เห็นพร่าเลือนไปจากความเป็นจริง

​ท่านพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวราวกับเป็น "ดีลลับ" ที่ซ่อนอยู่ใต้พรม ชี้ไปที่การสมัครสมาชิกพรรคของลูกสาว สส. หรือการเดินเข้าพรรคของนักการเมืองบางคน เพื่อสร้างภาพว่านี่คือแผนที่วางกันมานานแล้ว แต่ท่านอาจลืมไปว่า การเมืองที่พรรคประชาชนทำ คือการเมืองที่วางทุกอย่างไว้ "บนโต๊ะ"

​สิ่งที่เราทำ ไม่ใช่ "ดีล" แต่คือการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ที่เจ็บปวด เพื่อทำลายวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่ท่านและพวกพ้องเคยเป็นส่วนหนึ่งของมันมาตลอด ถ้าการเมืองยังอยู่ในมือขั้วอำนาจเดิม ประเทศก็ไม่มีวันเดินไปข้างหน้า เราจึงเลือกเส้นทางที่ "ยากที่สุด" แต่เป็นทางเดียวที่จะ "เปลี่ยนเกม" ได้

​ท่านตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของพรรคร่วมรัฐบาลและ MOA ที่ดูว้าเหว่... ถูกต้องครับ เราเองก็ไม่ได้ไว้วางใจพวกเขา 100%

​แต่ท่านกำลังมองผิดประเด็น การที่ สส. พรรคประชาชนออกมาท้วงติงคุณสมบัติรัฐมนตรี ไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ แต่นี่คือ "การทำงาน" ของเราในฐานะ 'ฝ่ายค้าน' ที่แท้จริง เรากำลังทำหน้าที่เป็น 'ตาชั่ง' ที่คอยวัดการกระทำของรัฐบาลทุกฝีก้าว ถึงแม้เราจะเป็นผู้ลงมติให้รัฐบาลชุดนี้เกิดขึ้นก็ตาม นี่คือการเมืองมิติใหม่ ที่ฝ่ายค้านไม่ได้มีหน้าที่แค่คัดค้าน แต่มีหน้าที่กำกับทิศทางประเทศด้วยเสียงที่เรามี

​ท่านบอกว่าพรรคน้ำเงินไม่เกรงใจเราเรื่องการต้อนรับ สส. จากพรรคอื่น... ยิ่งดีเลยครับ ยิ่งเขาแสดงตัวตนออกมาเร็วเท่าไหร่ ประชาชนก็ยิ่งเห็นชัด และ "เชือก" ที่ชื่อว่า MOA ก็ยิ่งตึงขึ้นเท่านั้น พรรคประชาชนไม่ได้ใช้ "ความเกรงใจ" ในการทำงาน แต่เราใช้ "มติมหาชน" และ "คะแนน 143 เสียง" ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงรัฐบาลชุดนี้อยู่

​ท่านพูดถูกว่าคะแนน 143 เสียงของเราอาจล้มรัฐบาลไม่ได้ แต่ท่านลืมสมการง่ายๆ ไปข้อหนึ่ง... รัฐบาลชุดนี้ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ หากไม่มี 143 เสียงของเราเช่นกัน นี่ไม่ใช่การขู่รายวัน แต่มันคือสัจธรรมทางการเมืองที่วางอยู่บนโต๊ะให้เห็นกันชัดๆ

​ส่วนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ที่ท่านเสนอให้เรา "จูงมือ" พรรคน้ำเงินไปคุยกับ สว. นั้น ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ แต่นั่นคือสิ่งที่อยู่ใน MOA อยู่แล้ว และมันคือบทพิสูจน์ด่านแรกที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จ ไม่ใช่หน้าที่เราต้องไปจูงใคร ถ้าเขาทำไม่ได้ ก็เท่ากับฉีก MOA ทิ้งต่อหน้าประชาชน และวันนั้นรัฐบาลก็ต้องตอบคำถามด้วยความอยู่รอดของตัวเอง

​สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในบทความของท่าน คือการมองทุกอย่างเป็นการสยบยอมต่อ "พลังอนุรักษนิยม" ท่านอาจจะชินกับการเมืองที่ต้องมี "นายใหญ่" หรือ "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" คอยกำกับ แต่พรรคประชาชนกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า อำนาจที่แท้จริงต้องกลับมาอยู่ที่ "โต๊ะ" ในสภา ไม่ใช่ "โต๊ะ" ที่บ้านใคร

​การเมืองวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการ "ฝืน" หรือ "ตามใจ" ใคร แต่เป็นเรื่องของการยึดโยงกับประชาชนและหลักการให้มั่นที่สุด

​สภาพ MOA จะเหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับลมปากของใคร แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของรัฐบาลเอง และตราบใดที่พรรคประชาชนยังยืนอยู่ตรงนี้ เราจะทำหน้าที่เป็น "ตาชั่ง" ที่คอยวัดน้ำหนักของการกระทำเหล่านั้นทุกวัน

​และถ้าวันใดที่ตาชั่งมันเอียงจนเกินรับไหว ก็อย่าแปลกใจถ้า "เสียง 143 เสียง" จะกลายเป็น "ตุ้มน้ำหนัก" ที่ทุบโต๊ะให้พังลงมาด้วยมือของเราเอง... นี่แหละครับ คือการเมืองบนโต๊ะในแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องให้ "นักเลงการเมือง" รุ่นเก่ามาอ่านเกมให้

ขอบคุณ เฟซบุ๊ก วรวุฒิ ชัยธนะวิวรรธ-วุฒิ