คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
บทความฉบับนี้ผมขออนุญาตเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวในมุมมองการเปลี่ยนแปลงของสหรัฐอเมริกาในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา ทั้งทางด้านสังคม ทางด้านเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านของการเมือง
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ณ ปัจจุบันนี้สังคมของสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว!!!
เมื่อห้าสิบปีก่อนสมัยที่ผมยังอยู่ในช่วงละอ่อนเยาว์วัย ผมมีโอกาสได้เดินทางไปศึกษาในระดับปริญญาตรี โดยเริ่มต้นการศึกษาที่ “มหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์” ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นยุคที่สหรัฐฯอยู่กันแบบสงบสุข และผมได้มีโอกาสเข้าไปพำนักอาศัยอยู่กับครอบครัวคนอเมริกันผิวขาวที่เป็นครอบครัวอันแสนน่ารัก
ในยุคสมัยนั้นภายในรั้วมหาวิทยาลัยไม่มีการ์ดคอยเฝ้าประตูด้วยซ้ำไป ที่ใครๆก็สามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยได้ทุกๆเมื่อ แต่ขณะนี้กลับกลายเป็นว่าภายในรั้วของมหาวิทยาลัยต่างๆคนภายนอกไม่สามารถขับรถหรือเดินผ่านเข้าไปได้ ไม่สามารถเข้าไปชมมหาวิทยาลัยได้ ยกเว้นแต่จะต้องทำการนัดหมายล่วงหน้าว่า มีเหตุผลอะไรที่ต้องการจะเข้าไปภายในมหาวิทยาลัย
และถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ จะมีอาณาเขตตั้งอยู่ในใจกลางเมืองมาลิบู ที่ห้อมล้อมไปด้วยเทือกเขาอันแสนกว้างใหญ่ มีเนื้อที่มากกว่า 800 เอเคอร์ แต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จำกัดทางเข้าเอาไว้แค่เพียงสองทาง และยังมียามคอยเฝ้าประตูรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยทางมหาวิทยาลัยแห่งนี้ยึดเอาความปลอดภัยของนักศึกษาเป็นหลักสำคัญ
อย่างไรก็ตามผมจำได้อย่างแม่นยำว่า ในสมัยที่ผมยังเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ มีอยู่วันหนึ่งผมไปเรียนสาย และเกรงจะเข้าไม่ทันห้องเรียน ระหว่างทางผมจึงตัดสินใจยกมือขอโบกรถที่ขับผ่านไปมา และในทันทีปรากฏว่าชายผิวสีท่านหนึ่งหยุดรถและได้กล่าวอนุญาตให้ผมขึ้นรถและบอกกับผมว่า “จะพาไปส่งที่มหาวิทยาลัย” ซึ่งเขาก็แสนจะมีน้ำใจพาผมไปส่งจนผมเข้าเรียนได้ทัน
แต่เมื่อกลับถึงบ้านผมก็เล่าเหตุการณ์นี้ให้กับ “คุณพ่อจิม” ซึ่งท่านเป็นพ่อฝรั่งที่ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูและสนับสนุนราวกับผมเป็นลูกในสายเลือดของท่านได้รับฟัง เมื่อท่านได้ฟังดังนั้นท่านก็จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบดุผมว่า “ไม่ควรจะขอความช่วยเหลือจากคนผิวสี” ซึ่งในยุคสมัยนั้นคนผิวสีถูกมองเป็นพลเมืองชั้นสองชั้นสามก็ว่าได้ และหากสมัยนั้นคนผิวขาวไปแต่งงานกับคนผิวสี ก็จะถูกมองว่า “เป็นคนแปลกประหลาด”
แปลได้ว่าเมื่อห้าสิบปีก่อนการเหยียดสีผิว มีความรุนแรงมากเลยทีเดียว!!!
แต่ในยุคสมัยนี้สถานะของคนผิวสีเปลี่ยนไปแล้ว โดยขณะนี้คนผิวสีสามารถยกระดับฐานะของตนเองได้เป็นอย่างสูง และได้รับการยอมรับสูงมากด้วยเช่นกัน สืบเนื่องมาจากความสำเร็จในการที่พวกเขาสามารถผลักดันตนเองให้มีหน้าที่การงาน จนปัจจุบันนี้คนผิวสีมีสถานะในระดับมหาเศรษฐีกันเป็นจำนวนมาก
เมื่อห้าสิบปีก่อนบรรดาธุรกิจต่างๆในสหรัฐจะหยุดในวันอาทิตย์ โดยห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆจะปิดบริการทั้งหมด สืบเนื่องมาจากชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเข้าโบสถ์กัน ทำให้ร้านรวงปิดกันเงียบกริบ
สำหรับสังคมไทยในแอลเอขณะนั้น มีนักศึกษาอยู่แค่เพียงห้าร้อยกว่าคนเท่านั้น โดยส่วนใหญ่พี่น้องชาวไทยของเราจะไปเรียนหนังสือ ส่วนที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยก็มีจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะทำงานด้านการให้บริการ ซึ่งมีรายได้ดี เช่น เป็นเด็กปั๊มเติมน้ำมัน เป็นเด็กให้บริการจอดรถ บ้างก็นิยมไปเช่ารถขายไอศกรีม ทำงานล้างจาน แต่ในยุคสมัยนั้นสหรัฐฯยังไม่มีร้านอาหารไทย ใครอยากจะทานอาหารไทยก็ต้องไปอาศัยทานอาหารจีนพอให้หายคิดถึงบ้านที่ย่านไชน่าทาวน์ ของเมืองแอลเอ
แต่เดี๋ยวนี้ธุรกิจของคนไทยมีมากมาย ส่วนร้านอาหารไทย ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวอเมริกันปรากฏว่ามีอยู่ทุกๆเมือง และยังมีธุรกิจไทยแทบทุกประเภทเลยทีเดียว
เมื่อห้าสิบปีก่อน ผมไม่เคยเห็นคนไร้ที่อยู่ และยังไม่เคยเห็นคนขอทานตามท้องถนน แต่เดี๋ยวนี้กลับตาลปัตร เพราะใจกลางเมืองของนครลอสแอนเจลิส มีคนไร้ที่อยู่ และมีคนขอทานเต็มไปหมด เท่ากับว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯกำลังชะลอตัว และจำนวนของคนว่างงานก็อยู่ในอัตราที่ค่อนข้างสูง
คราวนี้ผมขอวกกลับมาพูดถึงเรื่องราวของแวดวงการเมืองของสหรัฐอเมริกา ตามที่ตกเป็นข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงเป็นประจำในเกือบทุกๆวัน
ที่ผ่านมาการลอบสังหารประธานาธิบดีและนักการเมืองคนสำคัญๆ ที่ยกตัวอย่าง อาทิเช่น “ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี”, “นักต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์”, “โรเบิร์ต เคนเนดี” น้องชายของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี และแม้กระทั่ง “ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน” ที่เป็นประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมจากคนอเมริกันส่วนใหญ่ ก็ยังมีกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีหลายๆคนพยายามลอบสังหารท่านที่ กรุงวอชิงตัน ดีซี.เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ.1981
และเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2024 “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ก็ถูกลอบยิง ขณะที่กำลังหาเสียง
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2024 มีผู้ร้ายบุกเข้าไปในบ้านของ “อดีตประธานสภาแนนซี เพโลซี” โดยคนร้ายวางแผนต้องการที่จะลักพาตัวเธอ แต่โชคดีที่เธอไม่อยู่บ้าน แต่คนร้ายกลับทำร้ายด้วยการใช้ฆ้อนตีกะโหลกศีรษะของสามีอดีตประธานสภาจนหมดสติบาดเจ็บสาหัส แต่ในที่สุดคนร้ายก็ถูกจับได้ และถูกตัดสินโดนจำคุกตลอดชีวิต
และเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ก็เกิดเรื่องโดยมีผู้ที่จงรักภักดีต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเดินขบวนประท้วง โดยพวกเขามุ่งตรงไปที่อาคารรัฐสภา ขณะที่สมาชิกสภาคองเกรสกำลังรวมตัวประชุม เพื่อรับรอง “โจ ไบเดน” เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ โดยผู้ก่อการจลาจลหลายพันคนบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา จนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเสียชีวิตหลายนาย
และล่าสุดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 “ชาร์ลี เคิร์ก” นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นเพื่อนสนิทของประธานาธิบดีทรัมป์ ถูกลอบสังหารที่ “Utah Valley University” รัฐยูทาห์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ใหญ่ที่สุดในรัฐนั้น จนกลายเป็นข่าวใหญ่ที่โด่งดังสุด โดยสองวันต่อมา พ่อของผู้ต้องสงสัยก็ได้พาเขาไปมอบตัว ซึ่งนั่นก็คือ “ไทเลอร์ โรบินสัน” วัย 22 ปี
การสังหารครั้งนี้ถูกยกให้เป็นตัวอย่างของความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา หากจะลองหันไปดูอุตสาหกรรมด้านการผลิตอาวุธปืนกันแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปีกลายมีการประเมินว่า สามารถทำรายได้ถึง 91.65 พันล้านดอลลาร์ และมีคนงานถึง 383,000 คน
จากสถิติของ“สำนักหยั่งเสียงพิว” ที่ได้ออกมาเปิดเผยครั้งล่าสุดนี้ว่า ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันประมาณ 4 ใน 10 มีปืนเอาไว้ในครอบครอง และเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นได้ว่า สมาชิกของค่ายพรรครีพับลิกันถึง 45% มีปืนเอาไว้ในครอบครอง ส่วนสมาชิกค่ายพรรคเดโมแครตมีปืนไว้ในความครอบครองแค่เพียง 20% เท่านั้น
ภายในรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้ใดก็ตามที่ต้องการจะมีปืนเอาไว้ในครอบครอง จะต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป จะต้องมีบัตรประจำตัวที่ถูกต้อง และจะต้องไม่มีประวัติอาชญากรรมโดยมีสถิติของผู้ที่เสียชีวิตจากการถูกยิงในสหรัฐอเมริกาเมื่อปีค.ศ. 2024 จำนวนมากถึง 19,252 คนเลยทีเดียว!!!
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นผมมิได้กล่าวโทษว่าสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากที่สุด เนื่องจากข่าวที่ประโคมออกมาทั่งทุกมุมโลกในขณะนี้ก็เต็มไปด้วยความรุนแรงด้วยกันแทบทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีของสหรัฐแทบทุกคนจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามก็ตาม แต่ก็ต้องชื่นชมความเอาใจใส่ที่รัฐบาลและกฎหมายของเขามีให้ต่ออดีตประธานาธิบดีทุกๆท่าน ที่พวกท่านๆเหล่านั้นได้รับการคุ้มครองจากหน่วยข่าวกรอง แถมยังมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มครองป้องกันตลอดชีวิตอีกด้วยละครับ