ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
คนไทยเชื่อในเรื่องผู้มีบุญบารมี ซึ่ง “บุญบารมี” นี้สามารถมีได้ทุกคน ขึ้นอยู่กับ “กรรม” หรือการกระทำที่จะสร้างให้เกิดบุญบารมีนั้นขึ้นมา
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นคนที่เชื่อในเรื่องของ “บุญบารมี” โดยเฉพาะบุญบารมีที่เป็นพิเศษของพระมหากษัตริย์ ว่าบุคคลที่จะเป็นพระมหากษัตริย์นั้นจะต้องมีบุญบารมีมากเป็นพิเศษ โดยจะต้องสร้างสมมาเป็นเวลานาน ดังที่ในศาสนาพุทธก็นับถือกันว่า บุคคลที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องบำเพ็ญบุญญบารมีมานับร้อย ๆ ชาติ ตามพุทธชาดกนั้นกล่าวว่ามีถึง 500 ร้อยชาติ ทั้งที่เป็นคนและสัตว์ต่าง ๆ มีชาติที่สำคัญอยู่ 10 ชาติ เรียกว่า “ทศบารมี” โดยชาติสุดท้ายเกิดเป็นพระเวสสันดร ได้บำเพ็ญบุญบารมีที่เรียกว่า “ทานบารมี”
พระมหากษัตริย์ของไทยนั้นท่านเป็นพุทธมามกะ อีกทั้งยังต้องมี “ทศพิธราชธรรม” อันล้วนแต่เป็นบุญบารมีที่ได้แบบอย่างมาจากชาติต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้านั้นเอง ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อธิบายว่า พระมหากษัตริย์ของไทยก็ต้องบำเพ็ญพระองค์อยู่ในทศพิธราชธรรม ที่แปลตรงตัวว่า “ธรรม 10 ประการของพระราชา” นั้นอยู่โดยตลอด ตั้งแต่ที่เรามีราชอาณาจักรไทย และสืบเนื่องกันมานับร้อย ๆ ปี บุญบารมีของพระมหากษัตริย์ไทยจึงเกิดจากการ “สร้างสม” ต่อเนื่องกันมาโดยแท้
สำหรับผู้คนทั่วไปก็สามารถสร้างบุญบารมีให้เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ก็ต้องใช้เวลาในการสร้างสมกันพอสมควร และอาจจะมีความช้าหรือเร็ว หรือมีมากมีน้อยแตกต่างกัน ก็ขึ้นอยู่กับการสร้างสมที่มีสืบเนื่องกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเรานั้นด้วย ดังนั้นคนที่นับถือศาสนาพุทธจึงเชื่อในเรื่องของการเคารพจนกระทั่ง “บูชา” บุพการีและบรรพบุรุษ ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำให้เกิดสิริมงคลหรือสิ่งดีงามในชีวิตแล้ว ยังเป็นการสืบสานความดีงามนั้นสืบต่อไปยังลูกหลานในอนาคต ก็ยิ่งจะทำให้สังคมนั้นดีงามและมีความมั่นคงต่อเนื่องยืนนาน
ใน พ.ศ. 2518 มี “เรื่องใหญ่” ที่เป็นประวัติศาสตร์สำคัญของการเมืองไทยอยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่พรรคการเมืองท่านมี สส.ในสภาเพียง 18 เสียง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีการเล่าขานกันต่อ ๆ มาว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง รวมถึงที่เชื่อกันว่าเป็นเรื่อง “บุญบารมี” ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์โดยแท้
ก่อนอื่นจะขอเล่าความเป็นมาของเหตุการณ์นั้นสักเล็กน้อย เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นว่า “มันเป็นไปได้อย่างไร?”
หลังเหตุการณ์ “วันมหาวิปโยค” 14 ตุลาคม 2516 พอเราได้นายกพระราชทานและสภาพระราชทานแล้ว(ดังที่เล่าไว้เมื่อตอนที่แล้ว) ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ผู้เขียนเรียกว่า “สภาพระราชทาน” เพราะเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมาตั้งแต่ต้น พอถึงเดือนกันยายนปี 2517 คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญก็ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ และเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วก็มีการประกาศใช้ในวันที่ 7 ตุลาคม 2517 พร้อมกับมีกำหนดการว่าจะต้องมีการเลือกตั้งในตอนต้นปี 2518
การได้ขึ้นเป็นประธานสภานิติบัญญัติของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็เป็นด้วยบุญบารมีของท่านโดยแท้ เพราะในตอนที่เลือกคนที่จะเป็นประธาน มีสมาชิกเสนอชื่อท่านกับท่านอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ ขึ้นมาแข่งกัน ท่านอาจารย์ป๋วยนั้นถือว่าเป็นคนเด่นคนดังในประเทศไทยเป็นอย่างมากในตอนนั้น และอย่างที่ทราบกันบรรยากาศทางการเมืองในสมัยนั้นเป็นกระแสของคนรุ่นใหม่ ที่เกลียดชังพวกฝ่ายขวาหรืออนุรักษ์นิยม เพราะเพิ่งจะล้มระบอบทหารมาใหม่ ๆ กระแสที่สนับสนุนท่านอาจารย์ป๋วยจึงดังกระหึ่มมาก แต่พอผลการลงคะแนนของสมาชิกสภาออกมาก็มีคนมาลงคะแนนเลือกท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นจำนวนมากกว่า โดยมองว่าในสภานั้นมีพวกอนุรักษ์นิยมอยู่มากกว่า โดยเฉพาะพวกอดีตข้าราชการและนักธุรกิจ
ในช่วงที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญใกล้จะเสร็จ ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติตอนนั้นก็เริ่มมีการจับกลุ่มกันของสมาชิกจำนวนมากเป็นหลายกลุ่ม ซึ่งก็คือการเคลื่อนไหวที่จะจัดตั้งพรรคการเมือง โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ได้ถูกทาบทามให้มาเป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคม จากกลุ่มของนายบุญชู โรจนเสถียร กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพจำกัด ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศไทยในตอนนั้น นายบุญชูนี้เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ในหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง(เทียบเท่าปริญญาโท) ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ท่านอาจารย์สอนอยู่ในช่วง พ.ศ. 2488 – 2492 โดยนายบุญชูเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก และถือว่าเป็น “ก้นกุฏิ” หรือ “ศิษย์สวนพลู” คนสำคัญอีกคนหนึ่ง
เรื่องการก่อตั้งพรรคกิจสังคมนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอไว้อย่างละเอียดในวิทยานิพนธ์เรื่อง “การต่อสู้ทางการเมืองของพรรคการเมืองไทย : ศึกษากรณีพรรคกิจสังคม” (ตอนนั้นผู้เขียนยังใช้ชื่อเก่า คือนายทวีศักดิ์ พันธุ์สุระ) เสนอต่อคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2528 โดยได้ไปสัมภาษณ์ผู้ร่วมก่อตั้งหลายท่าน เริ่มจากนายบุญชู โรจนเสถียร ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ นายพงส์ สารสิน นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ดร.สุบิน ปิ่นขยัน นายทองหยด จิตวีระ นายบรม ตันเถียร นายโกศล ไกรฤกษ์ และท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งจะขอรวมข้อมูลที่ได้จากทุกท่านดังกล่าวนี้มาสรุปพอให้มองเห็นภาพ โดยเฉพาะ “ภาพบุญบารมี” ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์
ตอนนั้นกระแสซ้ายหรือแนวคิดพวกสังคมนิยมค่อนข้างแรงเอามาก ๆ มีการก่อตั้งพรรคการเมืองในแนวนี้หลายพรรค พรรคกิจสังคมจึงตั้งชื่อให้มีคำว่า “สังคม” นัยว่าส่วนหนึ่งเพื่อให้อยู่ในกระแสทางการเมืองของสมัยนั้น ที่คนรุ่นใหม่เรียกร้องให้การเมืองไทยมุ่งตรงไปในทิศทางดังกล่าว แต่อีกนัยหนึ่งก็ด้วยเป็น “ความใหม่” ของพรรคการเมืองในยุคนั้นจริง ๆ ที่พรรคกิจสังคมได้นำเสนอทั้งรูปแบบการหาเสียง กระบวนการกิจกรรมของพรรค และนโยบายที่ “เป็นได้จริง” และอุดมการณ์ทางการเมืองที่ผสมผสานระหว่าง “สังคมนิยม” กับ “ทุนนิยม”
นายบุญชูยอมรับว่าชื่อพรรคที่มีภาษาไทยว่า “กิจสังคม” ก็นำมาจากพรรคการเมืองของสิงคโปร์ที่ชื่อภาษาอังกฤษว่า “People Action Party” หรือ “PAP” โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “Social Action Party” ที่แปลเป็นไทยว่า “กิจสังคม” ย่อเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “SAP” ที่สื่อมวลชนและคนทั่วไปเรียกว่า “แสบ” อันเป็นฉายาที่โด่งดังของพรรคนี้มาตั้งแต่ต้น (สมัยนั้นยังไม่มีคำพูดเกี่ยวกับอะไรที่เผ็ดร้อนว่า “แซ่บ” ไม่อย่างงั้นพรรคแสบนี้น่าจะเรียกว่าพรรคแซ่บไปก็ได้ - ฮา) และก็เป็นพรรคที่ “แสบ” สมชื่อ เพราะได้สร้างประวัติการณ์ต่าง ๆ มากมาย
เรื่องการก่อตั้งพรรคกิจสังคมนี้นายบุญชูเล่าว่าได้คิดมานานแล้วกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัตินั้นเสียด้วยซ้ำ โดยบ่อยครั้งที่นายบุญชูไปเยี่ยมท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่บ้านสวนพลู ก็จะพูดคุย “ปรับทุกข์” กันถึงปัญหาบ้านเมืองและแนวทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอยู่ทุกครั้ง
นายบุญชูบอกว่าในฐานะที่เป็นนายแบ๊งค์ด้วยกันกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็ได้มองเห็นปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศที่ตรงกันหลายอย่าง โดยเฉพาะปัญหาความยากจนของเกษตรกร การค้าขาย และการส่งออก ทั้งนี้นายบุญชูได้มีบุคลากรและหน่วยงานที่ธนาคารกรุงเทพจำกัดจัดตั้งขึ้นทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ขึ้นเป็นการเฉพาะ จึงมีข้อมูลมากพอที่จะจัดทำเป็นนโยบายและแผนงานต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ซึ่งสิ่งนี้นายบุญชูกล่าวว่า จะเป็น “จุดเด่น” ของพรรคกิจสังคม คือการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน และสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้คน เพื่อนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทย
นายบุญชูได้เตรียม “แพลทฟอร์ม” อันประกอบด้วย ชื่อพรรค แนวนโยบายของพรรค โครงสร้างและกระบวนการทำงานต่าง ๆ ในพรรคไว้เป็นที่เรียบร้อย และได้นำไปปรึกษาหารือกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ในวันที่ 7 ตุลาคม ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ลาออกจากตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติในทันที พร้อมกับให้นายพงส์ สารสิน ในฐานะเหรัญญิกพรรค และ ดร.สุบิน ปิ่นขยัน นายทะเบียนของพรรค ไปจดทะเบียนจัดตั้งพรรคกิจสังคมกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2517 และเริ่มเคลื่อนไหว “ออกตัว” ในการหาเสียงของพรรคอย่างเข้มข้นขึ้นในทันที
สุภาษิตไทยที่กล่าวว่า “แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนานั้นยาก” ก็มีให้เห็นอีกครั้งในยุคที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาเล่นการเมืองในรอบใหม่นี้นี่เอง !