วันที่ 19 กันยายน 2568 ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ และติดตามผลการดำเนินงานด้านการจัดการน้ำและการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะที่สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เขตดินแดง ได้รับรายงานความคืบหน้าโครงการสำคัญ อาทิ การก่อสร้างและปรับปรุงระบบระบายน้ำ การบริหารจัดการคลองและท่อระบายน้ำ การบำรุงรักษาสถานีสูบน้ำ รวมถึงมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน พร้อมทั้งมอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โปร่งใส และทันต่อสถานการณ์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

ซึ่งปัจจุบันกรุงเทพมหานครต้องรับมือกับสถานการณ์น้ำทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านฝนตกหนักในพื้นที่ ด้านน้ำเหนือไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา และด้านน้ำทะเลหนุนสูง ในช่วงเวลาเดียวกัน จึงได้ดำเนินการก่อสร้างแนวคันป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ ความยาว 80 กิโลเมตร ตั้งแต่บริเวณสะพานพระราม 7 จนถึงสุดเขตบางนา โดยมีความสูงตั้งแต่ 2.80 เมตร จากระดับน้ำทะเล (ม.รทก.) ถึง 3.50 ม.รทก. เพื่อป้องกันน้ำเหนือหลากและน้ำทะเลหนุน

นอกจากนี้ ยังมีการเรียงกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุนสูงและน้ำเหนือหลากในจุดเสี่ยงเสร็จแล้ว 100% โดยมีระดับความสูงอยู่ที่ +2.40 ม.รทก.ถึง +2.70 ม.รทก. ในส่วนบ้านเรือนชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ ได้ดำเนินการเรียงกระสอบทรายบริเวณพื้นทางเดินเเละจุดพื้นที่ต่ำของชุมชนนอกที่อยู่นอกเเนวเพื่อป้องกันน้ำจากเเม่น้ำไหลเข้าท่วมชุมชนบ้านเรือน รวมถึงติดตั้งเครื่องสูบน้ำในบางพื้นที่เพื่อป้องกันน้ำจากเเม่น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ชั้นใน และจัดเตรียมความพร้อมด้านระบบระบายน้ำประกอบด้วยอุโมงค์ระบายน้ำ 4 แห่ง สถานีสูบน้ำตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งฝั่งพระนคร และฝั่งธนบุรี  มีกำลังสูบรวม 1,230.55 ลบ.ม.ต่อวินาที พร้อมทั้งจัดเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ  ตลอดจนการจัดเจ้าหน้าที่ประจำการตามสถานีสูบน้ำตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านนายเจษฎา จันทรประภา ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ (สนน.) กทม. เปิดเผยสถานการณ์น้ำและศักยภาพการรับมือของกรุงเทพฯ โดยปริมาณฝนในพื้นที่กรุงเทพมหานครปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสถิติในอดีต จากการจัดเก็บข้อมูลในรอบ 30 ปี กรุงเทพมหานครมีปริมาณฝนเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1,600 มิลลิเมตร แต่มีเพียงปี 2565 เท่านั้นที่ปริมาณฝนสูงถึง 2,350 มิลลิเมตร

สำหรับสถานการณ์ล่าสุด (กันยายน 2568) กรุงเทพมหานครมีปริมาณฝนสะสมรวมไปแล้ว 1,300 มิลลิเมตร สิ่งที่น่าจับตาคือปริมาณฝนที่ตกหนักในช่วงนี้ โดยเฉพาะในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งเดือน แต่มีปริมาณฝนสะสมอยู่ที่ 319 มิลลิเมตรแล้ว ปริมาณดังกล่าวเกือบจะเท่ากับปริมาณฝนเฉลี่ย 30 ปีตลอดทั้งเดือนกันยายน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 322 มิลลิเมตร ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนในปี 2565 ปริมาณฝนสูงถึง 800 มิลลิเมตร

อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครยังคงมีศักยภาพเพียงพอที่จะรับมือได้ เนื่องจากมีการเก็บข้อมูล เตรียมความพร้อม และถอดบทเรียนมาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำของกรุงเทพมหานครมีความสมบูรณ์ถึง 90% ประกอบด้วย อุโมงค์ยักษ์ สถานีสูบน้ำ บ่อสูบน้ำ และการขุดลอกคูคลองต่าง ๆ ที่ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ หากพิจารณาตามสถิติ ในช่วงฤดูฝนที่เหลืออีกประมาณหนึ่งเดือนครึ่งข้างหน้า กรุงเทพมหานครคาดว่าจะมีฝนอีกประมาณ 300 กว่ามิลลิเมตร ซึ่งยังสามารถรับมือได้

ด้านศักยภาพการระบายน้ำฝน ระบบท่อระบายน้ำของกรุงเทพมหานครสามารถรองรับปริมาณฝนได้ที่ 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง โดยเฉลี่ยแล้วสามารถระบายน้ำได้ภายใน 120 นาทีต่อจุด หากเกิดฝนปริมาณ 100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ติดต่อกันหลายวัน อาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นในการระบายน้ำ แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องไม่เกินภายในหนึ่งคืน เพื่อให้การเดินทางสัญจรในเช้าวันรุ่งขึ้นกลับมาเป็นปกติ

ด้านการช่วยเหลือพื้นที่เสี่ยง สำหรับพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางมาก โดยเฉพาะหมู่บ้านภาคเอกชนที่มักประสบปัญหาน้ำท่วม กรุงเทพมหานครได้ยืนยันความพร้อมของอุปกรณ์และจะเร่งนำเครื่องสูบน้ำเข้าไปช่วยเหลือในทุกพื้นที่

นายเจษฎา กล่าวว่า กรุงเทพฯ ถือเป็นด่านสุดท้ายที่ต้องรับมือกับปัจจัยสามอย่างพร้อมกัน คือ น้ำเหนือที่ไหลหลาก น้ำทะเลหนุน และน้ำฝน ในการป้องกันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานครได้มีการสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาหรือคันกั้นน้ำอย่างต่อเนื่องตลอดความยาวประมาณ 88 กิโลเมตรในพื้นที่กรุงเทพฯ

สำหรับระดับความสูงของเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ โดยช่วงบนจากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานกรุงธนบุรี มีความสูง 3.50 ม.รทก. (เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ลดระดับลงมาเป็น 3.25 ม.รทก. จากสะพานกรุงธนบุรี และ 3.00 ม.รทก. จากสะพานพุทธฯ จนถึงช่วงปลายสุดถึงบางนาที่มีความสูง 2.80 ม.รทก. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของเขื่อน และจะลดระดับลงจนถึงปากอ่าวไทย

ส่วนข้อกังวลว่าสถานการณ์น้ำในกรุงเทพฯ จะเหมือนปี 2554 หรือไม่นั้น นายเจษฎาอธิบายว่า ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อปี 2554 อยู่ที่ 2.53 ม.รทก. ซึ่งยังต่ำกว่าระดับต่ำสุดของเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ระดับ 2.80 ม.รทก. ดังนั้น หากน้ำเหนือที่ไหลหลากไม่เกินระดับ 2.80 ม.รทก. กรุงเทพฯ ก็สามารถรับมือได้

นอกจากนี้ การก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตลอดสามปี เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการสัญจร โดยเฉพาะการปิดช่องโหว่ในคันกั้นน้ำที่เรียกว่า "แนวฟันหลอ" เดิมมีแนวฟันหลอทั้งหมด 32 จุด ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 22 จุด เหลืออีก 10 จุด ซึ่ง 3 จุดจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ สำหรับจุดเสี่ยงที่เหลือ กรุงเทพมหานครได้จัดเตรียมกระสอบทรายเตรียมพร้อมล่วงหน้าไว้แล้วเป็นเวลาหนึ่งเดือน

โดยประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำและสถานการณ์ฝนแบบเรียลไทม์ได้ทั้งหมดที่เว็บไซต์ของสำนักการระบายน้ำ