ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (18 ก.ย.68) ที่ผ่านมา ได้มีมติรับหลักการร่างกฎหมายท้องถิ่น 10 ฉบับ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สั่นสะเทือนวงการการเมืองระดับรากหญ้า โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารท้องถิ่น อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาล ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กำลังถูกจับตามองถึงผลกระทบทั้งในเชิงบวกและลบ

ร่างกฎหมายที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชน และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส. พรรคประชาชน มีสาระสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก คือ การลดอายุของผู้มีสิทธิสมัครจากเดิม 35 ปี เหลือ 25 ปี และการยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งที่ไม่ให้เกิน 2 สมัย ด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนใช้สิทธิและเสรีภาพอย่างเต็มที่

หากย้อนกลับไปมองกฎหมายท้องถิ่นฉบับเดิม จะเห็นว่ามีเจตนารมณ์ที่เน้น "ความมั่นคง" และ "การป้องกันการผูกขาด" เป็นหลัก การกำหนดอายุผู้สมัครไว้ที่ 35 ปี สะท้อนแนวคิดที่ว่าผู้บริหารควรมีวุฒิภาวะและประสบการณ์ชีวิตที่เพียงพอสำหรับการบริหารจัดการปัญหาที่ซับซ้อนของท้องถิ่น ในขณะที่การจำกัดวาระไม่เกิน 2 สมัย เป็นมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้บริหารสะสมบารมี อิทธิพล และสร้างเครือข่ายผลประโยชน์จนกลายเป็น "เจ้าพ่อการเมืองท้องถิ่น"

แต่สำหรับกฎหมายใหม่นี้กำลังเปลี่ยนทิศทางไปในเชิงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง โดยมุ่งเน้นที่ "การเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่" และ "เสรีภาพของประชาชน" เป็นหัวใจสำคัญ ประเด็น "การลดอายุผู้สมัครเหลือ 25 ปี" ถือเป็นการเปิดประตูให้คนหนุ่มสาวที่มีพลังและความคิดสร้างสรรค์ได้เข้าสู่สนามการเมืองระดับรากหญ้าได้เร็วขึ้น ซึ่งอาจนำมาซึ่งพลังความคิดใหม่ ๆ ทัศนคติที่ทันสมัย และการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับยุคดิจิทัลและกระแสสังคมที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้น

ขณะที่ประเด็น "การไม่จำกัดวาระ" เป็นการสะท้อนหลักการว่า "อำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน" อย่างแท้จริง หากผู้นำท้องถิ่นมีผลงานเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน ประชาชนก็สามารถเลือกให้ผู้นำคนเดิมดำรงตำแหน่งต่อไปได้โดยไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบกฎหมาย ซึ่งเป็นการคืนสิทธิและเสรีภาพในการตัดสินใจให้แก่ประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผลดีที่คาดหวัง แต่การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ก็มาพร้อมกับ "ความเสี่ยง" และ "ความท้าทาย" ที่ไม่อาจมองข้ามได้ ประเด็นแรก คือ "วุฒิภาวะและประสบการณ์" แม้จะเปิดโอกาสให้คนอายุน้อยลงสมัครได้ แต่ในความเป็นจริง ผู้สมัครบางรายอาจยังขาดประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการบริหารงานที่ซับซ้อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในการบริหารท้องถิ่น

ส่วนประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือ "การผูกขาดอำนาจ" การยกเลิกเพดานวาระอาจกลายเป็นช่องทางให้ผู้มีอิทธิพลและตระกูลการเมืองท้องถิ่นสามารถครองอำนาจได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น ทำให้ปัญหาการผูกขาดที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว อาจยิ่งตอกย้ำให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม และแม้กฎหมายจะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาแข่งขัน แต่ในทางปฏิบัติ สนามการเมืองท้องถิ่นยังคงเต็มไปด้วยความได้เปรียบของผู้ที่มีทุน เครือข่าย และอิทธิพล ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันไม่ได้ "เท่าเทียม" อย่างที่คาดหวัง

การแก้ไขกฎหมายท้องถิ่นครั้งนี้จึงเป็นเสมือน "ดาบสองคม" ที่ท้าทายกรอบคิดดั้งเดิมที่รัฐใช้ควบคุมการเมืองท้องถิ่นมาโดยตลอด หากมองในเชิงหลักการ นี่คือการคืนอำนาจให้ประชาชนอย่างแท้จริง แต่ในทางปฏิบัติ สังคมไทยยังคงเผชิญกับปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงและการใช้อิทธิพลทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น คำถามสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ "ประชาชนมีความพร้อมแค่ไหนในการใช้สิทธิอย่างมีวิจารณญาณ?" หากประชาชนสามารถเลือกผู้นำบนพื้นฐานของเหตุผลและผลงานอย่างแท้จริง กฎหมายใหม่นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างประชาธิปไตยในระดับฐานรากที่แข็งแกร่ง แต่หากระบบยังคงเต็มไปด้วยการใช้อำนาจเงินและอิทธิพล ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจกลับตรงกันข้าม การเปิดเสรีนี้อาจไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลง แต่กลับตอกย้ำวัฏจักรการเมืองท้องถิ่นแบบเดิมให้คงอยู่ต่อไป ตราบใดที่ยังไม่มีกลไกตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชนที่แท้จริง กฎหมายเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืน


#กฎหมายท้องถิ่น #อบจ #อบต #เทศบาล #การเมืองท้องถิ่น #เลือกตั้งท้องถิ่น #ประชาธิปไตย #ลดอายุผู้บริหาร #ไม่จำกัดวาระ #การลดอายุผู้สมัครท้องถิ่น #นักการเมืองรุ่นใหม่ #ผูกขาดอำนาจ #พรรคการเมือง #รัฐสภา