เมื่อวันที่ 18 ก.ย.68 เวลา 16.00 น.ร.ต.อ วรินทร โสตะวงษ์ รองสว.(สอบสวน) สภ.ย่อยห้วยหลวง อ.เมือง จ.อุดรธานี รับแจ้งว่า มีเหตุเพลิงไหม้บ้านที่บ้านเลขที่ 226 หมู่ 17 บ้านหนองหลอด ต.เชียงยืน อ.เมือง จ.อุดรธานี หลังรับแจ้งจึงแจ้งมูลนิธิส่งเสริมธรรมแห่งอุดรธานี รถดับเพลิง อบต.เชียงยืน และอบต.ใกล้เคียงรีบไปดับไฟทันที โดยบ้านหลังเกิดเหตุเป็นบ้านปูนไม้ 2 ชั้น โดยมีชาวบ้านได้มีการบันทึกภาพขณะที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เอาไว้ ซึ่งไฟได้ไหม้อย่างรวดเร็ว มีการร้องตะโกนเพื่อแจ้งเตือนให้ชาวบ้านช่วยกันออกมาดับไฟและออกจากพื้นที่เพืออป้องกันอันตราย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลาในการระงับเหตุประมาณ 1 ชั่วโมงจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ แต่ปรากฎว่าไฟไหม้บ้านยายหนูจันทร์ไปทั้งหลัง

นางหนูจันทร์  พลจัตุรัส อายุ 70 ปี เจ้าของบ้าน บอกกับนักข่าวด้วยอาการตื่นตกใจว่า บ้านหลังดังกล่าวตนอาศัยอยู่กับลูกหลานหลายคน ขณะเกิดเหตุลูกๆออกไปทำงานกันหมดเหลือเพียงตนและหลานน้อย 2 คนอยู่ที่บ้าน  ก่อนเกิดเหตุตนได้ยินเสียงดังเป๊าะแป๊ะอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน  ตอนแรกคิดว่าเป็นฝนตกก็สงสัยฝนอะไรมาตกตอนนี้แดดแรงอยู่ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร  จากนั้นก็พบว่ามีกลิ่นเหม็นไหม้และควันไฟตลบอบอวนไปทั้งบ้านจึงรู้ว่าไฟไหม้แล้ว กำลังนอนเล่นในบ้านพอลืมตารู้ว่าไฟไหม้ รีบอุ้มหลานน้อย 2 คนวิ่งหนีตายออกจากบ้านทันที  ไม่ได้นำทรัพย์สินในบ้านรออกมาเลย คิดเพียงว่าดีแล้วที่ยายและหลานไม่ตาย เอาชีวิตรอดก่อน บุญพระคุ้มครอง

นางสังวาลย์  เขียวประภา อายุ 50 ปี  ลูกสาวของแม่หนูจันทร์ กล่าวว่า  ตนและแม่พักอาศัยอยู่คนละหลัง ซึ่งก่อนเกิดไฟไหม้ครั้งนี้ เหมือนมีลางสังหรณ์เพราะเมื่อคืนนี้ฝันเห็นเครื่องบินลำใหญ่มากบินวนอยู่บ้านแม่สักพักจึงบินจากไป ตามคำโบราณคนเฒ่าคนแก่เล่าว่าฝันแบบนี้น่าจะเป็นลางไม่ดี พอตกบ่ายวันนี้ก็ตกใจได้ยินข่าวไฟไหม้บ้านแม่จนวอดทั้งหลังโชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายถึงชีวิต ทรัพย์สินไฟไหม้หมดไม่เป็นไรเราหาใหม่ได้ขอแต่ให้คนไม่เป็นอะไร

นายศักดิ์สิทธิ์  คำทึง  นายกอบต.เชียงยืน เผยว่า หลังรับแจ้งไฟไหม้บ้านยายหนูจันทร์ที่บ้านหนองหลอดได้รีบสั่งการให้รถดับเพลิงมาช่วยดับไฟทันทีแต่ไฟไหม้บ้านไปทั้งหลัง ยังดีที่คุณยายหนูจันทร์พาหลานออกมากจากบ้านที่ไฟไหม้ได้ จากการตรวจสอบพบว่าคุณยายก็มีฐานะยากจน บ้านหลังนี้มีหลานยายอยู่ 4-5 คน หลังบ้านไฟไหม้ ทางอบต.เชียงยืนก็จะจัดหาที่อยู่ให้อยู่ชั่วคราวและหาทางช่วยเหลือครอบครัวคุณยายต่อไป ส่วนสาเหตุคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร