เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 18 ก.ย.68 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยถึงทิศทางการทำงานของพรรค ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยยืนยันว่า พร้อมเดินหน้าในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเป็นแม่ทัพของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการทำงานทางการเมืองต่อไป สำหรับกระแสข่าวเลือดไหลออกจากพรรคนั้น ในวันนี้ยังไม่มีเลือดไหลออกจากพรรค เพราะทุกคนยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ และยังมีผู้สนใจมาสมัครสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน
นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงจุดยืนของตนเกี่ยวกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า หลังจากที่มีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ การเมืองของไทยก็มีพัฒนาการทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญคือมีการพยายามนำพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศตั้งแต่ต้นว่า พรรครวมไทยสร้างชาติไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ เนื่องจากมีอุดมการณ์ทางการเมืองและแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และมีการใช้วิธีการให้พรรคการเมืองนั้นมาลงมติสนับสนุนผู้รับเลือกเป็นนายกฯ โดยไม่ได้เป็นการร่วมรัฐบาล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน ซึ่งสำหรับตนเห็นว่าแนวทางเช่นนี้ไม่ถูกต้องทางการเมือง เพราะจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างทางการเมืองของพรรคการเมืองอื่น ที่ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ตนเห็นว่าวิธีการดังกล่าวอาจเป็นการผิดกฎหมายพรรคการเมืองในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งจาก 2 เหตุผลข้างต้น ทำให้ตนมีความเห็นว่าไม่สามารถลงคะแนนเสียงสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ ได้ในขณะนั้น ทั้งที่โดยส่วนตัวตนเคารพและรักนายอนุทินมาก และคิดว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่วิธีการในการจัดตั้งรัฐบาลในรูปแบบนี้ไม่ใช่วิธีทางที่ถูกต้อง
นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า ต่อมาทางพรรคเพื่อไทยได้มีการติดต่อในการเพิ่มเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ด้วยแนวทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แต่ไม่ร่วมรัฐบาล ซึ่งตนยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ดังนั้นตนจึงมีความเห็นว่าถ้าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ก็ไม่สามารถสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เลย
“สำหรับผมคิดว่านี่เป็นวิธีการทางการเมืองที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างของพรรคการเมืองอื่น ซึ่งไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในทางการเมืองเป็นสิ่งที่เกิดไม่น่าจะเกิดขึ้น และผมรับไม่ได้ ” นายพีระพันธุ์ กล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ดีในส่วนการบริหารจัดการพรรคจะต้องมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเบื้องต้นได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของพรรค ว่าหากแนวทางเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองเช่นนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่สามารถร่วมรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม โดยก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ สส.พรรค มองว่าเมื่อการเมืองเดินมาถึงสถานการณ์เช่นนี้น่าจะจบลงด้วยการยุบสภา จึงยังไม่มีมติของพรรค เป็นเพียงการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกันเท่านั้น ต่อมาปรากฏว่าการยุบสภาไม่สามารถทำได้ ประกอบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในส่วนของพรรคหลายคนได้สอบถามและแสดงความคิดเห็นว่ากรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติควรมีมติที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของสส.พรรค จึงมีการเชิญประชุมกรรมการบริหารพรรคอย่างเร่งด่วน ในวันพุธก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ในการประชุมกรรมการบริหารพรรคครั้งนั้น กรรมการบริหารพรรค 3 ท่าน เห็นด้วยกับแนวทางของตน มีกรรมการบริหารพรรค 1 ท่าน เห็นว่าหากนายอนุทินยืนยันว่าจะไม่มีการแตะต้องมาตรา 112 และยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 ควรจะต้องสนับสนุนนายอนุทิน ส่วนกรรมการบริหารพรรค 2 ท่านเห็นว่าควรให้เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วหากมีมติทางใดทางหนึ่งจะทำให้เกิดปัญหาในพรรคได้ จึงไม่มีการพูดถึงมติของกรรมการบริหารพรรค แต่แจ้งผลความเห็นของกรรมการบริหารพรรคว่ามีความเห็นกี่แนวทาง อย่างไรบ้าง และให้เป็นเอกสิทธิ์ดุลพินิจของ สส. โดยสส.ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ลงมติเลือกนายอนุทิน 33 เสียง ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง ซึ่งตนยืนยันว่าในพรรคไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็เดินหน้าตามกระบวนการต่อไป
เมื่อถามว่า มีคนปล่อยข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติโดนซื้อไปแล้ว นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบแต่ตนไม่โดนซื้อเด็ดขาด
เมื่อถามต่อว่า ยังมีคนปล่อยข่าว ในลักษณะที่ว่า จะเสนอชื่อนายพีระพันธุ์เป็นนายกฯ เอง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่าเรื่องนี้มาได้อย่างไร ซึ่งมีข่าวอย่างนี้ มาอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ ตนก็ไม่ทราบ และตอนหลังมีคนไปให้สัมภาษณ์ ในวันที่พรรคร่วมรัฐบาลคุยกัน จะมีการเสนอชื่อตนเป็นนายกฯ ซึ่งวันนั้นไม่มีเลย ไปถามพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคที่ประชุมกันวันนั้นได้ เพราะรู้ตั้งแต่วันนั้นแล้วว่า พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ บัญชีแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ไม่มีหรอกครับ เมื่อมีบัญชีรายชื่ออยู่ แล้วจะไปเอาพรรคอื่นมา การเมืองก็เสีย เพราะฉะนั้นความคิดแบบนี้ วิเคราะห์แบบตื้นๆ แต่ไม่รู้หรอกว่า ในทางการเมือง มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนพรรครวมไทยสร้างชาติเรามีบัญชีรายชื่อ คนที่จะเป็นนายกฯ แล้วเราจะไปเอาพรรคอื่นมาเสนอ แล้วพรรคเราจะใส่ไว้ทำไม ถ้าเราจะได้รับการเลือกต้องมาด้วยความมีศักดิ์ศรี ลักษณะแบบนี้ผมรู้สึกว่าไม่มีศักดิ์ศรีเลย
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาปล่อยข่าว อาจจะคิดกันไปว่า เป็นแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ทางนายชัยเกษมเป็นแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยแต่เราเป็นแคนดิเดตของพรรครวมไทยสร้างชาติซึ่งก็อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเหมือนกัน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยว ถึงจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หรืออะไรก็ต้องเอาจากบัญชีของพรรคหลัก จะไปเอาจากบัญชีของพรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นไปได้อย่างไร ผม สันนิษฐาน มีอยู่ 2 อย่างคือ1.ไม่รู้จริง โง่ 2. อยากทำลายพรรค อยากทำลายตนก็แค่นั้น ไม่มีอะไร
เมื่อถามต่อว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคที่เพิ่งเกิดมาไม่กี่ปี แต่ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานของสังคม และกระแสสังคมเยอะมาก คิดว่าเป็นเพราะอะไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า มองได้หลายมุมแล้วแต่คนมองพรรคการเมืองก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ ทุกคนเกิดมาก็ต้องมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น ไม่มีใครที่ชีวิตราบรื่นมีแต่ความสำเร็จมีแต่ความสุข เพียงแต่ว่าแต่ละคนเมื่อเจอปัญหาแล้วท้อไหม พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่เป็นพรรคแรกที่เพิ่งเกิดและเจอปัญหา แต่พรรครวมไทยสร้างชาติจะผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้
เมื่อถามว่า เคยท้อหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยท้อ เพราะว่าความจริงในชีวิตก็เจอปัญหามาเยอะอยู่แล้ว นี่ก็เป็นอีกแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิต อยู่ที่ว่าการทำงานในแนวทางของผมคือทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ที่เราทำได้ เมื่อทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ทำไม่สำเร็จก็ต้องยอมรับว่ามันทำไม่สำเร็จ แต่ไม่ใช่ว่าท้อหรือไม่ท้อ ถ้าคิดว่าท้อก็อย่าทำเลย แต่ว่าเราทำให้ดีที่สุด ทำให้มากที่สุด ทำให้เต็มที่ ตั้งแต่เด็กมาตนเรียนหนังสือก็ใช้วิธีนี้ ได้เท่านี้ก็เท่านี้ สอบได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น แต่ดูหนังสือเต็มที่ทำให้ดีที่สุด ได้เท่านี้ก็เท่านี้ แต่ไม่ใช่ว่าผิดหวัง หรืออะไร เพราะว่าคนอื่นไม่รู้ดีเท่าตัวเรา ตนติดยึดกับตัวเราเองว่าเราทำดีหรือยัง เราทำถูกต้องไหม เราไม่มีทางทำให้คนทุกคนถูกใจ ไม่มีวันทำให้ทุกคนพอใจ ในสิ่งที่เราทำ เราทำสิ่งที่ดีที่ถูกสำหรับบ้านเมืองกับส่วนรวมหรือเปล่า แนวทางการทำงานของแบบนี้ทำให้ตนเดินหน้ามาจนถึงวันนี้ได้ และตนก็เดินแบบนี้
เมื่อถามว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ พรรคมีการเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ความเป็นพรรคการเมืองต้องพร้อมตลอดเวลา ซึ่งเมื่อวันนี้มีความชัดเจนว่าจะต้องมีการยุบสภาใน 4 เดือน เราก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายด้าน โดยเฉพาะผู้สมัคร สส.ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่พรรคพยามหาคนที่มีอุดมการณ์ แนวทางทำงานเพื่อประชาชน เพื่อเดินทางเดียวกันกับพวกเรา สู้ทุกปัญหา และแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนทั้งเรื่องพลังงาน และความไม่เป็นธรรมในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พรรคได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราพูด เราทำ และเราแก้จริง
เมื่อถามว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ ใครจะเป็นคนนำทัพ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนจะเป็นคนนำทัพเอง ตนเป็นแม่ทัพ ทุกพื้นที่ก็จะต้องเป็นตน แต่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตนจะดูแลเป็นพิเศษ
เมื่อถามว่า มีคนสนใจร่วมอุดมการณ์ และอยากจะมาสมัคร สส. กับเรา ก็มาได้เลยใช่หรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ติดต่อมาได้เลย ทุกคนที่มีแนวทางเดียวกับเรา คือ มาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ได้เล่นการเมืองปัญหาของประชาชน ปัญหาของประเทศชาติมีเยอะ แต่ที่มีน้อยคือคนที่ทำงาน คนที่ตั้งใจทำจริง วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติประกาศมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ตั้งแต่เข้าสู่สนามเลือกตั้ง ว่าเราจะเป็นแบบนั้น ตนมั่นใจว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราเป็นแบบนั้นจริง ถ้าใครที่มีความคิดแบบเดียวกัน มีแนวทางเดียวกันมาร่วมกันฟื้นประเทศนี้
เมื่อถามว่า จุดเด่นของพรรครวมไทยสร้างชาติคืออะไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เราเป็นพรรคที่มาทำงานการเมือง เราไม่ได้มาเล่นการเมือง ถ้าใครคิดว่ามาเล่นการเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ เพื่อตำแหน่ง เพื่อผลประโยชน์เงินทองก็อยู่พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ได้
เมื่อถามว่า อยากเห็นการเมืองบ้านเราในอนาคตเป็นอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนอยากเห็นการเมืองที่ทำงานเพื่อบ้านเมือง ตนไม่อยากเห็นการเมืองที่เข้ามาแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แล้วก็อ้างประชาชน อ้างบ้านเมือง แต่เบื้องหลังมีแต่เรื่องส่วนตัว นั่นคือสิ่งที่ตนสร้างพรรครวมไทยสร้างขึ้นมา ตนก็จะทำแนวนี้ เดินแนวนี้ได้เท่าไหร่เท่านั้น เพราะตนไม่ได้ต้องการสร้างพรรค เพื่อหาอำนาจ เพื่อหาบารมี เพื่อหาตำแหน่งให้ตัวเอง ถ้าหากประชาชนให้การตอบรับมากก็โชคดีไป ประชาชนไม่ให้การตอบรับได้เท่าไหร่ตนก็ทำเท่านั้น