เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ระบุว่า  เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดเชียงรายนัดฟังคำพิพากษาฎีกาในคดีของ “บอส” ฉัตรมงคล วัลลีย์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบริษัทเอกชน วัย 31 ปี ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เหตุจากถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้คอมเมนต์ข้อความในโพสต์ของเพจเฟซบุ๊ก “ศรีสุริโยไท” เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2564 คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งเคยพิพากษายกฟ้อง กลับเป็นลงโทษจำคุก 27 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดให้จำคุก 3 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษลงหนึ่งในสาม คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ทำให้คดีสิ้นสุดลง และฉัตรมงคลต้องถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำกลางเชียงรายทันที ทำให้ยอดผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 55 คน

เส้นทางการต่อสู้: ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ลงโทษจำคุก 27 เดือน เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ จำเลยจึงยื่นฎีกาต่อ

สำหรับคดีนี้มี นัธทวัฒน์ ชลภักดี แอดมินเพจเฟซบุ๊กศรีสุริโยไท เป็นผู้กล่าวหาไว้ที่ สภ.เมืองเชียงราย และฉัตรมงคลต้องเดินทางจากกรุงเทพ ฯ ไปต่อสู้คดีที่จังหวัดเชียงรายมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ถึงปัจจุบันเกือบ 4 ปี แล้ว

ในการต่อสู้คดี ฉัตรมงคลให้การปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่ผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว โดยตนเองใช้เฟซบุ๊กอื่น นอกจากนั้นข้อความคอมเมนต์ที่กล่าวหาระบุเพียงคำว่า “ในหลวง” โดยไม่ได้ระบุว่าพระองค์ใด และในตัวโพสต์ของเพจศรีสุริโยไท ก็เป็นภาพที่คาดว่าน่าจะเป็นภาพของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พร้อมข้อความขอให้เป็นกำลังใจให้ทางเพจต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ได้มีการระบุถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ใดแต่อย่างใด

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 ศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษายกฟ้องคดี โดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานบุคคลและหลักฐานที่ยืนยันว่าจำเลยกระทำตามฟ้องจริง ที่โจทก์เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดมาจากตำรวจชุดสืบสวนที่นำชื่อเฟซบุ๊กที่ถูกกล่าวหา ไปค้นในทะเบียนราษฎร์ของจำเลย แล้วนำมาเปรียบเทียบกับภาพในเฟซบุ๊ก เมื่อพิจารณาทางนำสืบของจำเลยที่ชี้ให้เห็นว่าหน้าเฟซบุ๊กมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย โดยไม่ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่เพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความตามฟ้อง

ต่อมา อัยการได้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อ และเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2567 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง โดยกลับไปเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ พยานโจทก์ที่เป็นสองแอดมินผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊กศรีสุริโยไทเบิกความไม่มีความขัดแย้งกัน ไม่มีข้อพิรุธ และไม่รู้จักกับจำเลยมาก่อน รูปคดีก็ไม่มีเหตุให้เชื่อว่าพยานโจทก์คิดสร้าง URL ขึ้นมา เมื่อจำเลยไม่ใช่นักการเมืองหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงที่น่าจะมีผู้ใดมากลั่นแกล้ง

แม้ว่าจำเลยนำพยานมาเบิกความเรื่องการเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่จำเลยก็ไม่ได้ต่อสู้ว่ามีการนำข้อมูลของจำเลยไปใช้ หรือถูกแฮกระบบอย่างไร คำเบิกความของจำเลยจึงมีน้ำหนักรับฟังได้น้อย

จำเลยจึงยื่นฎีกาต่อศาล โต้แย้งว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ หรือมีพยานแวดล้อมน่าเชื่อถือได้ว่าจำเลยกระทำความผิดและทางนำสืบของโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัยอยู่หลายประการ ทำให้ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความลงในเพจศรีสุริโยไท ลงจำคุก 2 ปี

เวลาประมาณ 9.30 น. บอสเดินทางมาถึงศาลจังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนทั่วไปที่สนใจเข้าฟังคำพิพากษาด้วยประมาณ 5 คน

ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาโดยสรุปความได้ว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงเหลือโทษจำคุก 27 เดือน ไม่รอการลงโทษ

คดีมีปัญหาต้องพิจารณาประการแรกว่า จำเลยเป็นผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวโพสต์ข้อความลงในเพจศรีสุริโยไทหรือไม่ โดยจำเลยโต้แย้งว่าไม่ใช่ผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว

เห็นว่ามูลเหตุของเรื่อง นัธทวัฒน์ ชลภักดี ผู้สร้างเพจเฟซบุ๊กชื่อ “ศรีสุริโยไท” โพสต์คลิปวิดีโอลงในเพจดังกล่าวพร้อมข้อความว่า “เป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ หัวใจของพวกเราคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งที่พวกเราต้องการที่สุดคือกำลังใจ ไม่มีแบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสี” ซึ่งเปิดเป็นสาธารณะที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าดูได้ มีบัญชีเฟซบุ๊กที่มีชื่อเหมือนจำเลยคอมเมนต์ข้อความใต้คลิปวิดีโอ ซึ่งเป็นข้อความดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์

ผู้กล่าวหาจึงเข้าไปดูในเฟซบุ๊กดังกล่าวพบว่า บุคคลที่ใช้บัญชีเฟซบุ๊กจบการศึกษาและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และมีแฟนอยู่ในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง จึงประสานไปยังผู้อำนวยการสถาบันการศึกษานั้น ผู้อำนวยการจึงได้เรียกมาสอบถามแฟนยอมรับว่าได้คบหาอยู่กับจำเลย ผู้กล่าวหาจึงรวบรวมข้อมูลและลิงค์โปรไฟล์ของจำเลยเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน

โจทก์มีพยานบุคคลเบิกความต่อศาล แม้ว่าไม่ใช่พยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง แต่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์อย่างยิ่ง

การรับฟังพยานหลักฐานของศาลจะต้องรับฟังอย่างระมัดระวัง แต่จำเลยก็ไม่ได้เบิกความโต้แย้งว่าพยานโจทก์เบิกความไม่เป็นความจริง และไม่ได้เบิกความว่าไม่มีความเกี่ยวพันกับแฟนที่ถูกกล่าวอ้าง

ในการโพสต์ข้อความลงในโปรแกรมเฟซบุ๊กจะต้องสมัคร และมีการกรอกข้อมูลส่วนตัว ซึ่งบุคคลคนหนึ่งอาจมีบัญชีเฟซบุ๊กได้หลายบัญชี โดยในระบบคอมพิวเตอร์จะต้องมี URL ซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ และมี IP Address เปรียบเสมือนเลขที่บ้าน ซึ่งไม่สามารถปลอมแปลงได้ ยกเว้นเสียแต่ถูกขโมยข้อมูลหรือถูกแฮก แต่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบว่าถูกขโมยข้อมูลหรือถูกแฮกอย่างไร

แม้ว่าพยานหลักฐานโจทก์จะแคปภาพจากหน้าจออุปกรณ์และพิมพ์ลงในเอกสาร แต่ก็เป็นเอกสารทางนิติวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ให้มีความน่าเชื่อถือ สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวคือจำเลย

จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่าเปิดบัญชีเฟซบุ๊กทั้งหมด 7 บัญชี โดยใช้ชื่อจำเลยทั้งหมด แสดงให้เห็นพฤติกรรมของจำเลยในการเปิดบัญชีใหม่อยู่เรื่อยไป

หลังเกิดเหตุจำเลยไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นโทรศัพท์มือถือ และหลังจากนั้นจำเลยเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์จึงมีพิรุธสงสัย ดังนี้พยานหลักฐานโจทก์เชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยโพสต์ข้อความดังกล่าว

ประเด็นพิจารณาประการต่อมา ที่จำเลยโต้แย้งว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อความลอย ๆ ไม่บ่งชี้ว่าเป็นพระมหากษัตริย์องค์ใด ศาลฎีกาเห็นพ้องกับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยแล้ว

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ลงโทษจำคุก 3 ปี คำให้การของจำเลยมีประโยชน์อยู่บ้าง ให้ลดโทษจำเลยหนึ่งในสาม คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5

หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาจบ เจ้าหน้าที่ตำรวจศาลได้นำกุญแจมือมาใส่ที่ข้อมือของฉัตรมงคลและนำตัวลงไปคุมขังที่ห้องขังใต้ถุนศาล ก่อนเตรียมนำส่งตัวไปยังเรือนจำจังหวัดเชียงรายต่อไป เนื่องจากศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาทำให้คดีสิ้นสุดลง

ปัจจุบันเมื่อรวมฉัตรมงคลแล้ว มียอดผู้ต้องขังในคดีจากการชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองเพิ่มขึ้นเป็น 55 คน ในจำนวนนี้แยกเป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 30 คน และคดีมาตรา 110 อีก 5 คน

ทั้งนี้ จากคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว มีประเด็นที่ศาลฎีกายกคำให้การจำเลยบางส่วนมาประกอบการให้เหตุผลลงโทษ แต่ไม่ได้พิจารณาให้ครบถ้วน เช่น ในประเด็นว่าจำเลยเคยให้การว่าเคยสมัครบัญชีเฟซบุ๊กมาหลายครั้ง แต่เหตุเนื่องจากว่าเคยมีบัญชีที่เข้าใช้งานไม่ได้ จึงจำเป็นต้องสมัครบัญชีใหม่ จนมาถึงบัญชีล่าสุด โดยบัญชีนี้ได้เปิดใช้งานมาประมาณ 2-3 ปีแล้ว ซึ่งเป็นการใช้งานเพียงบัญชีเดียว รวมทั้งประเด็นว่าจำเลยไม่ได้ไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นโทรศัพท์ แต่ได้เปิดหน้าเฟซบุ๊กบัญชีที่จำเลยใช้งานอยู่ให้พนักงานสอบสวนดูและบันทึกภาพถ่ายไว้ด้วย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการขอตรวจยึดโทรศัพท์ไปตรวจสอบต่อ