วันที่ 18 กันยายน 2568 สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) กรมประชาสัมพันธ์ ได้จัดรายการ "NBT มีทางออก" เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน แผนรับมือ และความพร้อมของประเทศไทยในการรับมือน้ำท่วมฤดูฝนปีนี้
• โลกร้อนส่งผล "เรนบอม" และปริมาณฝนเข้มข้น
นายชวลิต จันทรรัตน์ กรรมการบริษัททีมกรุ๊ปและกรรมการสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงแนวโน้มปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยที่สหประชาชาติยอมรับว่า หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส ความปั่นป่วนของสภาพอากาศจะเพิ่มความรุนแรงและบ่อยขึ้นเฉลี่ย 10% สำหรับประเทศไทย แม้ผลกระทบจะยังไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยคาดว่าปริมาณฝนจะเพิ่มขึ้น 7% แต่สถานการณ์ในช่วงปี 2564 ที่อุณหภูมิโลกของไทยสูงถึง 1.3 - 1.4 องศาเซลเซียส ก็ได้นำมาซึ่งปรากฏการณ์ "ฝนตกเป็นหย่อม" หรือ "เรนบอม" (Rain Bomb) หมายถึงฝนที่ตกเข้มข้น ณ จุดเดียว ล่าสุดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีฝนปริมาณไม่ต่ำกว่า 100 มิลลิเมตร ตกติดต่อกันนาน 8-9 วัน จนเป็นเหตุให้ดินโคลนถล่มลงมาสร้างผลกระทบต่อพื้นที่ด้านล่าง
ในปี 2568 นี้ ฤดูกาลต่างๆ รวมถึงฤดูฝนของประเทศไทยเป็นไปตามปกติ แต่ปริมาณฝนมีความเข้มข้นสูงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจาก "พายุวิภา" ที่ถูกลมจากประเทศจีนพัดเข้าไทย และขณะนี้พายุได้ถูกกดต่ำลงมาบริเวณจังหวัดน่าน ทำให้เกิดน้ำท่วมและปริมาณน้ำในเขื่อนสิริกิติ์เพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับ "พายุคาจิกิ" ที่แม้จะสลายตัวในประเทศลาว (หลวงพระบาง) แต่ก็ส่งผลให้มีปริมาณฝนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ทำให้กรมชลประทานต้องเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนสิริกิติ์บ้าง เพื่อเตรียมรับมือกับพายุที่อาจเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำตั้งแต่จังหวัดสิงห์บุรีลงไปต้องเผชิญกับน้ำท่วมนานนับเดือนแล้ว
ส่วนสถานการณ์น้ำในปีนี้จะเหมือนกับปี 2554 หรือไม่ นายชวลิตกล่าวว่า ในภาพรวมสถานการณ์ไม่เหมือนกัน แม้พายุลูกใหม่จะเข้ามาแต่ก็อยู่เหนือเขื่อน ซึ่งได้มีการพร่องน้ำไปแล้ว รวมถึงแต่ละเมืองมีการบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มแข็งมากขึ้น จากข้อมูลล่าสุดช่วงต้นเดือนกันยายน พบมีโอกาสเกิด "ลานีญา" ในเดือนตุลาคมนี้ แต่ยังไม่เพิ่มปริมาณฝนมากนัก ยังอยู่ในเกณฑ์ 7% มั่นใจได้ว่าไม่มีผลกระทบหนักอะไร ถึงแม้จะเห็นว่ามีพื้นที่น้ำท่วมในจังหวัดต่างๆ แต่พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ จากข้อมูลพื้นที่รับน้ำและแก้มลิงต่างๆ สามารถรับน้ำในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคมได้อีกไม่น้อยกว่า 900 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งรับได้มากกว่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ส่วนในกทม. มีคันกั้นน้ำที่สูงพออยู่แล้วจึงสามารถรับมือได้
ส่วนเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำมาก แต่ยังไม่มีศูนย์บัญชาการน้ำท่วมหรือมีความพร้อมเท่าสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร จึงต้องอาศัยคลองสำโรงเป็นแหล่งระบายน้ำเพียงอย่างเดียว ส่วนภาพที่เห็นมีบางพื้นที่น้ำท่วมเหมือนปี 2554 จริง แต่เป็นภาพเฉพาะจุด ไม่ใช่สถานการณ์ภาพรวมทุกพื้นที่
นายชวลิต กล่าวว่า ตอนนี้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่ดีมาก สามารถทำให้ประชาชนได้เห็นภาพอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าพอเห็นข่าวแล้วอย่าเพิ่งคิดเกินจริง ทางราชการมีความพร้อมในการจัดการอยู่แล้ว ส่วนความร่วมมือจากประชาชน ขอให้ช่วยกันดูคันกั้นน้ำว่ามีความเสียหายชำรุดหรือไม่ และช่วยกันอย่าทิ้งขยะลงไปอุดตันในท่อระบายน้ำ และคลองต่างๆ การระบายน้ำจะได้สะดวก สบาย สามารถรับน้ำฝนตลอดเดือนตุลาคมนี้ได้
• กรมชลประทานเดินหน้าบริหารจัดการน้ำเขื่อน ยืนยัน 4 เขื่อนหลักยังรับได้
นายเลอบุญ อุดมทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชลประทาน และรองโฆษกกรมชลประทาน คาดการณ์ว่าฝนจะยังคงตกต่อเนื่องไปจนถึงกลางเดือนตุลาคม จากอิทธิพลของร่องความกดอากาศและลมมรสุม รวมถึงพายุจรที่อาจเข้ามา ปัจจุบันประเทศไทยมีเขื่อนขนาดใหญ่ 35 แห่ง โดยมี 10 เขื่อนที่มีปริมาณน้ำมาก
กรมชลประทานจึงใช้ข้อมูลการพยากรณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยามาประกอบการคาดการณ์ปริมาณน้ำที่จะไหลเข้าเขื่อนและคำนวณการระบายน้ำออกจากเขื่อนอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ ยกตัวอย่างเช่น เขื่อนสิริกิติ์ ที่ต้องค่อยๆ เพิ่มอัตราการระบายน้ำโดยคำนึงถึงผลกระทบในจังหวัดอุตรดิตถ์และพิจิตร น้ำทั้งหมดจากแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน จะมารวมกันที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยเฉพาะบริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นเขื่อนทดน้ำ ไม่ใช่เขื่อนกักเก็บน้ำ
การบริหารจัดการน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา ที่มีอัตราการระบายน้ำ 2,000-2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีการนำน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่ง คือ
ฝั่งตะวันตก ผ่านแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำน้อย ในจังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรี แต่การดำเนินการค่อนข้างยาก เนื่องจากมีฝนตกและมีน้ำในพื้นที่อยู่แล้ว จึงต้องนำน้ำเข้าตามศักยภาพที่รับได้เท่านั้น
ฝั่งตะวันออก ระบายน้ำไปทางคลองชัยนาท-ป่าสัก ในจังหวัดลพบุรี ซึ่งก็มีน้ำในพื้นที่อยู่แล้วเช่นกัน จึงต้องมีการ "จัดการจราจรน้ำ" โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างความเสียหายของพื้นที่ด้านบนและด้านล่าง รวมถึงระบบชลประทานด้านซ้าย-ขวา
นอกจากนี้ น้ำจากแม่น้ำป่าสักจะมาสมทบที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งมีความจุประมาณ 960 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่บางปีมีน้ำไหลเข้ามากถึง 2,500 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงต้องมีการรับน้ำแล้วปล่อยออกเป็นระยะๆ โดยอาศัยจังหวะที่เหมาะสม เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ส่วนสถานการณ์ 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยาปัจจุบันยังไม่น่ากังวล โดยมีน้ำอยู่ประมาณ 80% และยังสามารถรับน้ำได้อีกราว 4,500 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณฝน นายเลอบุญยังกล่าวเสริมว่า เทคโนโลยีการพยากรณ์ที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น ช่วยให้กรมชลประทานวางแผนจัดการน้ำได้รวดเร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การบริหารจัดการน้ำไม่ได้จำกัดอยู่แค่ช่วงฤดูฝนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฤดูแล้งด้วย โดยมีเป้าหมายให้น้ำในเขื่อนมีประมาณ 80% ในวันที่ 1 พฤศจิกายน เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้นปริมาณน้ำ 80% ในเขื่อนจึงไม่ใช่ตัวเลขที่น่ากังวล แต่เป็นแนวทางการบริหารจัดการน้ำตามปกติ
ในด้านน้ำทะเลหนุน กรมชลประทานไม่สามารถเปิดประตูน้ำระบายตามธรรมชาติได้ จึงต้องใช้สถานีสูบน้ำที่มีกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ สามารถสูบน้ำออกจากพื้นที่รวม 120 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน แบ่งเป็นฝั่งตะวันออกประมาณ 70 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ฝั่งตะวันตกประมาณ 50 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งมีการตรวจสอบความพร้อมใช้งานอยู่ตลอด
นายเลอบุญ กล่าวว่า สถานการณ์ในปีนี้กับปี 2554 ต่างกันมาก ในปี 2554 ยังไม่มีเทคโนโลยี เช่น แผนที่ Google Maps แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมาย เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม การสื่อสาร สามารถนำข้อมูลมาบริหารจัดการน้ำได้มาก รวมถึงมีการพัฒนาเครื่องสูบน้ำ และโครงสร้างต่างๆ มากขึ้นเกือบเท่าตัว สามารถระบายน้ำออกสู่ทะเลได้เร็วขึ้น
ส่วนการทยอยปล่อยน้ำเพิ่มขึ้นทีละนิด เพื่อต้องการให้ประชาชนได้เตรียมตัว ลดผลกระทบได้มากกว่าการปล่อยทีเดียว ส่วนระดับน้ำที่จะเพิ่มสูงขึ้น ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะมีการเก็บข้อมูล เช่น หากเขื่อนเจ้าพระยาปล่อยน้ำ 2,200 มิลลิเมตรต่อวินาที พื้นที่ ที่มีน้ำท่วมประจำจะมีน้ำเพิ่มสูงขึ้นเท่าไร แล้วจะมีการติดตั้งเสาวัดน้ำในพื้นที่เหล่านั้น เพื่อคาดคะเนความสัมพันธ์ระหว่างระดับน้ำที่ปล่อยออกจากเขื่อนกับระดับน้ำท่วมที่เพิ่มสูงขึ้น ในอนาคตก็อาจจะมีการพัฒนาระบบวัดน้ำที่แม่นยำไปติดตั้งเพิ่มขึ้น
ส่วนพื้นที่ทุ่งลุ่มต่ำที่มีโอกาสน้ำท่วมสูง กรมชลประทานได้ปรับปฏิทินการเพาะปลูก โดยให้เกษตรกรเริ่มปลูกเร็วขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมจนถึงเก็บเกี่ยวเดือนกันยายน ซึ่งการปล่อยน้ำลงทุ่งลุ่มต่ำในพื้นที่ของเกษตรกรมีการทำประชาพิจารณ์ว่าสามารถปล่อยได้หรือไม่ และในปริมาณเท่าใด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและความเสียหายในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งเรื่องนี้ต้องได้รับความยินยอมจากคนในพื้นที่
• กรุงเทพฯ มั่นใจรับมือฝนได้ ระบบระบายน้ำสมบูรณ์ 90%
ด้านนายศุภมิตร ลายทอง รองผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ได้คาดการณ์ความเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครช่วงฤดูฝนปีนี้ จากการจัดเก็บข้อมูลในรอบ 30 ปี กรุงเทพมหานครมีปริมาณฝนเฉลี่ยปีละ 1,600 มิลลิเมตร มีเพียงปี 2565 เท่านั้นที่มีปริมาณฝนสูงถึง 2,350 มิลลิเมตร
ณ วันนี้ (เดือนกันยายน 2568) กรุงเทพมหานครมีฝนสะสมไปแล้ว 1,300 มิลลิเมตร และตามสถิติเฉลี่ย 30 ปี ช่วงเดือนกันยายนมีฝนประมาณ 322 มิลลิเมตร แต่ปัจจุบันเดือนกันยายนปีนี้เพิ่งผ่านไปครึ่งเดือน ปริมาณฝนสะสมเฉพาะเดือนอยู่ที่ 319 มิลลิเมตร ซึ่งเกือบจะเท่ากับปริมาณฝนเฉลี่ย 30 ปีทั้งเดือนแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าปริมาณฝนในพื้นที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนในปี 2565 ที่มีปริมาณฝนถึง 800 มิลลิเมตร
นายศุภมิตรยืนยันว่า หากยึดตามสถิติที่ผ่านมา ในช่วงฤดูฝนอีกหนึ่งเดือนครึ่งข้างหน้า กรุงเทพมหานครจะมีฝนอีกประมาณ 300 กว่ามิลลิเมตร ซึ่งจะสามารถรับมือกับปริมาณฝนดังกล่าวได้ เนื่องจากมีการเก็บข้อมูล เตรียมความพร้อม และถอดบทเรียนมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานในการระบายน้ำ โดยมีอุโมงค์ยักษ์ สถานีสูบน้ำ บ่อสูบน้ำ และการขุดลอกคูคลองต่างๆ ที่ดำเนินการตามแผนที่วางไว้แล้ว ระบบโครงสร้างพื้นฐานในการระบายน้ำมีความสมบูรณ์ถึง 90%
ดังนั้น แม้จะมีฝนเพิ่มขึ้น 7% จากผลกระทบของภาวะโลกร้อน กรุงเทพมหานครก็ยังมีศักยภาพเพียงพอที่จะรับมือได้ โดยเฉลี่ยสามารถระบายน้ำได้ภายใน 120 นาทีต่อจุด ระบบท่อระบายน้ำของกรุงเทพมหานครได้รับการออกแบบให้รองรับฝนได้ที่ปริมาณ 60 มิลลิเมตร/ชั่วโมง หากเจอฝนปริมาณ 100 มิลลิเมตร/ชั่วโมง ติดต่อกันหลายวัน ก็ต้องใช้เวลาในการระบายน้ำ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องไม่เกินภายในหนึ่งคืน เพื่อให้การเดินทางในรุ่งเช้ากลับมาเป็นปกติ
สำหรับพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางมาก โดยเฉพาะหมู่บ้านภาคเอกชนที่มักประสบปัญหาน้ำท่วม กรุงเทพมหานครจะเร่งนำเครื่องสูบน้ำเข้าไปช่วย และยืนยันว่ามีอุปกรณ์และความพร้อมในการช่วยเหลือทุกพื้นที่ทุกจุด
ในด้านน้ำทะเลหนุน แม่น้ำเจ้าพระยาในพื้นที่ กทม. มีความยาวประมาณ 88 กิโลเมตร คันกั้นน้ำช่วงด้านบนจากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานกรุงธนบุรีมีความสูงของสันเขื่อน 3.50 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) จากสะพานกรุงธนฯลงมามีความสูง 3.25 ม.รทก. จากสะพานพุทธฯมีความสูง 3.00 ม.รทก. ส่วนช่วงปลายสุดถึงบางนามีความสูง 2.80 ม.รทก. ซึ่งจะลดระดับลงตามการไหลของน้ำจนถึงปากอ่าวไทย ในปี 2554 ระดับความสูงของน้ำอยู่ที่ 2.53 ม.รทก. ยังต่ำกว่าระดับต่ำสุดของเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีระดับ 2.80 ม.รทก. ดังนั้นน้ำเหนือที่ไหลหลากไม่เกินระดับ 2.80 ม.รทก. กรุงเทพมหานครสามารถรับมือได้
นายศุภมิตร กล่าวว่า กทม. เป็นด่านสุดท้ายที่จะต้องรับทั้งน้ำเหนือและน้ำทะเลหนุน ขณะเดียวกันก็ต้องรับน้ำฝนด้วย จึงมีการป้องกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาหรือคันกั้นน้ำ ซึ่งมีแนวฟันหลออยู่ 32 จุด ดำเนินการไปแล้ว 22 จุด เหลืออีก 10 จุด ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ 3 จุด การก่อสร้างต่อเนื่องมาตลอดสามปี เพื่อป้องกันกระทบต่อการสัญจรต่างๆ ส่วนจุดที่เหลือได้จัดเตรียมกระสอบทรายเตรียมพร้อมแล้ว 100% โดยจัดเตรียมล่วงหน้าหนึ่งเดือน
นอกจากนี้กทม. ยังมีศูนย์ป้องกันน้ำท่วม ประชาชนสามารถเข้าดูสถานการณ์น้ำต่างๆ ผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ผ่านเว็บไซต์ของสำนักการระบายน้ำ เช่น จุดน้ำท่วม ปริมาณน้ำหนุน ปริมาณฝน ระดับน้ำในคลองทั้งหมด ตรวจสอบการเคลื่อนที่ของฝน รวมถึงการพยากรณ์ฝนล่วงหน้า 3 ชั่วโมง