มีแต่เสียงเย้ยหยันสมน้ำหน้า พรรคประชาชน ที่กลายเป็น นั่งร้าน ให้ พรรคภูมิใจไทย ก้าวสูงขึ้นไป ข้อตกลงทางการเมืองที่ทำขึ้นเพื่อรักษาสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยกำลังกลายเป็นดาบสองคม เมื่อบันทึกความเข้าใจหรือ MOA ที่ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย ความเสี่ยงจึงตกอยู่ที่พรรคประชาชนเต็ม ๆ เพราะแม้จะตั้งใจผูกมัดภูมิใจไทยไม่ให้เพิ่มจำนวน ส.ส. แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถควบคุมได้จริง หากภูมิใจไทยขยับตัวดึง ส.ส. จากพรรคอื่นเข้ามาเพิ่ม สถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็จะพลิกเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากทันที

เสียงขู่คำรามจาก พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่ออกมาเตือนว่าการย้ายพรรคของ ส.ส. ที่เกิดขึ้นอาจขัดต่อ MOA และหากปล่อยให้สถานการณ์ลุกลาม การอภิปรายไม่ไว้วางใจในอนาคตก็อาจไม่สามารถล้มรัฐบาลได้เพราะติดขัดกับหลักคณิตศาสตร์การเมือง เมื่อรัฐธรรมนูญเปิดทางให้ผู้แทนที่ได้เสียงจากประชาชนในนามพรรคหนึ่งสามารถเปลี่ยนไปหนุนอีกพรรคได้โดยไม่ต้องคืนเสียงให้ประชาชน ช่องว่างนี้จึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยมีโอกาสขยายอำนาจอย่างไร้ขอบเขต ขณะที่พรรคประชาชนเองกลับยิ่งอ่อนแอเหมือนนั่งร้านที่พร้อมจะถูกทิ้งลงเมื่อไม่จำเป็นอีกต่อไป

เสียงวิพากษ์จาก ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ยิ่งทำให้ภาพน้ำตานั่งร้านชัดเจนขึ้น เขามองว่าพรรคประชาชนพลาดซ้ำเพราะไม่ยอมยุบสภาในเวลาที่ควร ปล่อยให้ภูมิใจไทยกอบโกยความนิยมขึ้นทุกวัน เขาใช้ถ้อยคำเปรียบเปรยแรงว่าการเมืองของผู้ใหญ่ที่ดื่มไวน์ย่อมเหนือกว่าเด็กที่ยังดื่มนม ฝ่ายหนึ่งเล่นเกมด้วยความเก๋า ส่วนอีกฝ่ายยังไร้เดียงสา ผลลัพธ์จึงเห็นได้ชัดเจนว่าภูมิใจไทยกำลังหัวเราะยืนอยู่บนยอดตึก ขณะที่พรรคประชาชนกลับร้องไห้น้ำตานองบนนั่งร้านที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

บทเรียนครั้งนี้ตอกย้ำว่าพรรคประชาชนเสี่ยงเดิมพันกับพรรคภูมิใจไทยเพื่อทำลายหรือบดขยี้คู่แข่งที่มีฐานเสียงเดียวกันคือพรรคเพื่อไทย ด้วยการถีบให้ไปเป็นฝ่ายค้านเพื่อที่จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคภูมิใจไทยด้วยข้ออ้างต่างใน MOA เพื่อหาทางตีจากและ เล่นบทเหยื่อ หรือ ผู้ถูกกระทำ เช่นที่ผ่านมา ทว่าก็ต้องเผชิญกับปัญหาภาพลักษณ์ในระยะยาวที่พลาดซ้ำพลาดซากจนอาจถูกมองว่าเป็นเพียง การละครทางการเมือง ขณะที่พรรคภูมิใจไทยยังเดินหน้าสะสมอำนาจและคะแนนนิยมต่อไปอย่างมั่นคง

#น้ำตานั่งร้าน #การเมือง #พรรคประชาชน #ภูมิใจไทย #พริษฐ์วัชรสินธุ #ชูวิทย์กมลวิศิษฏ์