“พริษฐ์” พรรคประชาชน ข้อเสนอ ส.ส.ร. 2 คณะ ไม่มีกลไกซับซ้อน แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจนสร้างกติกาที่ยอมรับได้จากทุกฝ่าย ชี้หากทุกพรรคในรัฐสภาเห็นตรงกันก็ไม่มีใครไปร้องศาลฯได้ พร้อมย้ำว่าวิธีป้องกันอิทธิพลการเมืองที่ดีที่สุดคือการส่งเสริมให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ให้มากที่สุด

วันที่ 17 ก.ย.2568 เวลา 14.30 น.ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน กล่าวถึงข้อเสนอของพรรคประชาชนในการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผ่านกลไกเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยโมเดล 2 คณะ คือ คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ และ คณะผู้แทนประชาชน ยืนยันว่ามีความใกล้เคียงกับโมเดลที่เราเคยเสนอไปแล้ว ใน ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะการเลือกสองใบนั้น ไม่ได้ต่างกับการเลือก สส.เขต และ สส.บัญชี รายชื่อ จึงคิดว่าไม่ได้ซับซ้อนเกินไป แต่ทําให้ประชาชนมีส่วนร่วม

เมื่อถามถึงหน้าที่ของคณะผู้แทนประชาชนจะไม่มีส่วนในการยกร่างรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า คณะผู้แทนประชาชนคล้ายกับสภาที่ปรึกษา หรือสภากํากับดูแล ดังนั้นจะเป็นคนที่มีตัวแทนทุกจังหวัด ที่มาจากการเลือกตั้ง มีหน้าที่รวบรวมความเห็นจากประชาชน และเมื่อมีความคืบหน้าของร่างก็จะนําความคืบหน้าดังกล่าวไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไม่ได้นํามายกร่าง หรือเขียนข้อความ เนื่องจากเรากังวลถึงคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุ รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรง เราจึงวางเป็นสองคณะแบบนี้

เมื่อถามถึงอิทธิพลของคณะผู้แทนต่อคณะผู้ยกร่าง จะมีมากแค่ไหน หรือจะเปิดช่องให้ถูกตีความ และมีการไปร้องได้หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่คิดว่าตรงนั้นเป็นปัญหา เพราะไม่ว่าจะกลไกคณะผู้แทนหรือคณะผู้ร่าง ก็ต้องฟังเสียงของประชาชนที่สะท้อนโดยตรงอยู่แล้ว รวมถึงที่สะท้อนผ่านกลุ่มตัวแทนต่างๆ และสมาชิกรัฐสภาด้วย ตลอดจนการเปิดเวทีรับฟังความเห็นประชาชนในพื้นที่ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ ไม่น่าเป็นกังวล เรื่องข้อกฎหมาย

เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับพรรคภูมิใจไทยหรือยัง นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นโมเดลของพรรคอื่นทั้งหมด แต่จากการพูดคุยกับนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คิดว่าโมเดลพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนคล้ายกันอยู่ เพราะไม่ใช่การตั้งคณะกรรมการโดยตรง แต่ใช้เป็นกลไกเสริม ในส่วนของเรา 2 คณะ ขณะที่ของพรรคเพื่อไทยเป็นสภาเดียว แต่มีสองที่มา

เมื่อถามว่ามั่นใจว่าปิดช่องไว้ครบหมดแล้วใช่หรือไม่ ว่าจะไม่มีคนไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในภายหลัง นายพริษฐ์ กล่าวว่า ในมุมของพรรคประชาชน เรายกร่างโดยพยายามให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด และไม่ได้ขัดคําวินิจฉัยต่อศาลรัฐธรรมนูญ เชื่อว่าพรรคอื่นก็คํานึงถึงตรงนี้เช่นกัน แต่หากพูดระหว่างทาง ไม่ใช่ว่าใครจะเป็นคนร้องได้ เพราะเป็นมติของรัฐสภา หากเราเห็นตรงกัน ก็ไม่มีใครไปร้องได้

"ถ้าทุกพรรคมีความตั้งใจ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะหมุดหมายสําคัญ ไม่ว่าวาระหนึ่งจะจัดขึ้นเมื่อไหร่ แต่วาระสอง และวาระสาม ที่เกิดขึ้น ภายหลังกรรมาธิการพิจารณาเสร็จ ต้องทําให้เกิดภายในเดือนธันวาคม ก็จะไม่มีปัญหา" นายพริษฐ์ ย้ำ

เมื่อถามถึงการลดอำนาจ สว. พรรคประชาชนยอมถอยแล้วใช่หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ต้องแยกออกเป็นสองส่วน คือร่างเดิมที่อยู่ในระเบียบวาระของทั้งพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย มีการแก้ไขสองเรื่อง คือมาตรา 256 ที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา และการเพิ่มหมวด 15/1 ในรอบนี้ เราจึงดูที่หมวด 15/1 ให้เรื่องกลไกการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็น่าจะตรงไปตรงมาที่สุด กับเรื่องที่เราพูดคุยกันในปัจจุบัน ร่างเดิมที่แก้มาตรา 256 ก็ไม่ได้ตัดอํานาจวุฒิสภา ในการพิจารณารัฐธรรมนูญรายมาตรา แต่ปรับหลักเกณฑ์ ว่าจะต้องใช้เสียงเห็นชอบเท่าไหร่

เมื่อถามว่า ตั้งเป้าให้ สว.โหวตให้มากขึ้นหรือไม่ นายพริษฐ์ หวังว่า สว.คงไม่ได้คิดถึงผลกระทบต่อตัวเอง แต่คิดถึงผลกระทบต่อประเทศ

เมื่อถามว่า มีกลไกป้องกันไม่ให้อิทธิพลการเมืองเข้ามาครอบงําผู้สมัคร เช่นกรณีฮั้ว สว.ที่ผ่านมาหรือไม่ นายพริษฐ์ ย้ำว่า ไม่เหมือนการเลือก สว.อยู่แล้ว เพราะไม่ใช่การเลือกตั้ง เพื่อให้ผู้สมัครคัดเลือกกันเอง ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับการเลือก สว.เลย จึงยืนยันว่า ไม่ได้เป็นข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับใคร ส่วนเรื่องอิทธิพลทางการเมือง ถ้าเรายึดมั่นในหลักการของระบอบประชาธิปไตย เราให้ความสําคัญกับกระบวนการเลือกตั้ง ที่ประชาชนมีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงตัดสินใจในแต่ละเรื่อง หากเรากังวลใจว่า คณะไหนจะถูกอิทธิพลกลุ่มการเมืองมาผูกขาดหรือไม่ วิธีการที่ดีที่สุด คือการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด เพราะจะทําให้ไม่สามารถมีกลุ่มทางการเมืองกลุ่มใดผูกขาดการกํากับคณะดังกล่าวได้ เพราะประชาชนโดยธรรมชาติย่อมมีความเห็นที่หลากหลาย