(17 ก.ย.68) นายปฏิญญา แสงนิล ผู้อำนวยการกองนิติการและบังคับคดี สำนักเทศกิจ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยแนวทางการทำคำสั่งทางปกครองของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ในเขตกรุงเทพมหานคร ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร โดยการดำเนินงานตามกฎหมายควบคุมอาคารในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ส่งผลกระทบทั้งต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ หนึ่งในปัญหาสำคัญคือ "ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวเขตสาธารณะ" โดยเฉพาะอาคารที่ก่อสร้างก่อนปี พ.ศ. 2522 ซึ่งกฎหมายเดิมอนุญาตให้สร้างชิดแนวเขตทางเท้าและมีชายคายื่นได้ ส่งผลให้เทศกิจประสบปัญหาในการตรวจสอบและจับกุมผู้ค้าที่ใช้พื้นที่ใต้ชายคาอาคารเหล่านั้น โดยไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลหรือสาธารณะ ซึ่งมีเพียงฝ่ายโยธาเท่านั้นที่สามารถยืนยันแนวเขตที่แท้จริงได้
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังประสบปัญหาจากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องและภาระงานที่เพิ่มขึ้น อาทิ การที่หน่วยงานราชการหลายแห่งใน กทม. ไม่ได้ติดตั้งป้ายเตือน "ห้ามสูบบุหรี่" บริเวณทางเข้า-ออก ทำให้ผู้อำนวยการเขต หรือแม้กระทั่งผู้ว่าฯ กทม. อาจถูกปรับเป็นหลักหมื่นบาท
รวมถึงกระบวนการออกคำสั่งทางปกครองยังขาดความชัดเจนและครบถ้วน ในบางกรณี เช่น การระบุรายละเอียดจุดที่กระทำความผิดหรือวิธีแก้ไขที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้คำสั่งถูกเพิกถอนหรือต้องทำใหม่บ่อยครั้ง การลงนามในเอกสารสำคัญโดยผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตที่ไม่ถูกต้องตามลำดับอาวุโส หรือการประทับตราไม่ครบถ้วน ก็เป็นสาเหตุให้คำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ด้าน "ภาระในการติดตามคดี" ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย โดยเฉพาะคดีอาญาที่ต้องติดตามผลทุก 3 เดือน ซึ่งถือเป็นภาระสำหรับเจ้าหน้าที่ ขณะที่พนักงานสอบสวนเองก็อาจมองคดีอาคารเป็นคดีเล็กน้อย ทำให้การดำเนินคดีล่าช้าหรือขาดความต่อเนื่อง และอาจนำไปสู่การหมดอายุความได้ สำหรับคดีรื้อถอนที่สั่งไปนานแล้วแต่ไม่มีการดำเนินการจริง บางครั้งเจ้าหน้าที่ระดับผู้อำนวยการเขตก็ถูกศาลสั่งปรับเป็นการส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้น การขอขยายระยะเวลาในการดำเนินการคดีต่อศาลหลายครั้งเกินไป อาจถูกมองว่าเป็นการประวิงเวลา ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และภาระของผู้บริหารสูงสุดของ กทม.
เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ กทม. ได้ปรับปรุงและเน้นย้ำกระบวนการดำเนินงานหลายส่วน ได้แก่ 1. การประสานงานข้ามหน่วยงาน เน้นย้ำให้เทศกิจและฝ่ายโยธาทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะในประเด็นการตรวจสอบแนวเขตสาธารณะและการออกคำสั่งที่เกี่ยวข้อง 2. ปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบอาคาร มีการเปลี่ยนแนวทางการตรวจสอบอาคารจากการตรวจทุก 15 วัน เป็นการตรวจ 3 ครั้ง (ก่อน, ระหว่าง, หลังการก่อสร้าง) เพื่อลดช่องว่างทางกฎหมายและจำนวนคดีที่ขึ้นสู่ศาล 3. การใช้เทคโนโลยีช่วยงาน สำนักเทศกิจเริ่มนำ Google Street View และ Google Earth มาใช้ในการตรวจสอบและยืนยันการรื้อถอนอาคาร หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอาคาร ช่วยให้การทำงานรวดเร็วและแม่นยำขึ้น โดยเฉพาะป้ายโฆษณาขนาดใหญ่และอาคารที่อยู่ติดถนนหรือคลอง
4. ความชัดเจนในการออกคำสั่งทางปกครอง กำชับให้คำสั่งต้องระบุรายละเอียดที่ชัดเจนของจุดที่กระทำความผิดและวิธีการแก้ไขที่เฉพาะเจาะจง เช่น การระบุขนาดของส่วนที่ต่อเติมผิดกฎหมายอย่างละเอียด 5. ความถูกต้องของการลงนามและประทับตรา ผู้บริหารระดับผู้อำนวยการเขตต้องลงนามและประทับตราให้ครบถ้วนในฐานะ "เจ้าพนักงานท้องถิ่น" หากผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตลงนามแทน ต้องเป็นผู้ช่วยฯ ที่อาวุโสที่สุดในตำแหน่ง และต้องระบุสถานะ "รักษาราชการแทน" อย่างชัดเจน เพื่อให้คำสั่งชอบด้วยกฎหมาย
6. เร่งรัดการบังคับใช้คำสั่งรื้อถอน กรณีที่มีคำสั่งรื้อถอนแล้ว เจ้าหน้าที่ต้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่ง โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ, การไฟฟ้า, การประปา เพื่อดำเนินการรื้อถอนจริง หากมีการต่อสู้ขัดขวาง ต้องมีการบันทึกเหตุการณ์และขอศาลสั่งจับกุมหรือกักขัง 7. แจ้งคำสั่งอย่างถูกต้อง การแจ้งคำสั่งทางปกครองต้องทำครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เช่น การส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ และการปิดประกาศ เพื่อให้คำสั่งมีผลบังคับใช้
8. การกระจายอำนาจและกฎหมายใหม่ รัฐบาลมีนโยบายกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีการออกกฎหมายใหม่ เช่น พ.ร.บ. ปรับเป็นพินัย และแก้ไขกฎหมายเดิม รวมถึงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ กทม. เป็น "เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่" ตามกฎหมายอื่น ๆ เช่น พ.ร.บ. ทางหลวงท้องถิ่น เพื่อเพิ่มอำนาจและขอบเขตการบังคับใช้กฎหมาย 9. กลไกการเปรียบเทียบปรับ ในคดีอาญาบางประเภท หากผู้กระทำผิดยินยอม สามารถส่งเรื่องเข้าคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับได้ ซึ่งจะทำให้เงินค่าปรับตกเป็นของท้องถิ่น ต่างจากการขึ้นศาลที่เงินจะเข้าคลังแผ่นดิน
ทั้งนี้ จากการปรับปรุงกระบวนการและแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ คาดว่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกหลายประการ ได้แก่ 1. ลดจำนวนคดีที่ขึ้นสู่ศาล การเปลี่ยนแนวทางการตรวจสอบอาคารช่วยลดช่องว่างและข้อโต้แย้ง ทำให้คดีลดลงอย่างชัดเจน 2. เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย การประสานงานที่ดีขึ้น การใช้เทคโนโลยี และความชัดเจนในกระบวนการ จะช่วยให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. ลดภาระและความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องและครบถ้วนจะช่วยคุ้มครองเจ้าหน้าที่จากการถูกฟ้องร้องหรือถูกศาลสั่งปรับส่วนตัว
4. สร้างความโปร่งใสและเป็นธรรม การออกคำสั่งที่ชัดเจนและครบถ้วน รวมถึงการแจ้งคำสั่งอย่างถูกต้อง จะสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ 5. ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ในบางกรณี การรื้อถอนอาคารที่ผิดกฎหมายได้ส่งผลให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของทรัพย์สินและอาจสะท้อนถึงมูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริง 6. รายได้ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น การใช้กลไกการเปรียบเทียบปรับในคดีอาญา จะทำให้เงินค่าปรับเข้าสู่ท้องถิ่นโดยตรง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเมืองได้ 7. ส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมาย การบันทึกเรื่องร้องเรียนหรือความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคารลงในโฉนดที่ดิน อาจเป็นแรงจูงใจให้เจ้าของอาคารเร่งดำเนินการแก้ไขส่วนที่ผิดกฎหมาย ก่อนการซื้อขายเปลี่ยนมือ
โดยการปรับปรุงเหล่านี้เป็นก้าวสำคัญของกรุงเทพมหานครในการยกระดับการบริหารจัดการด้านกฎหมายควบคุมอาคารให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชนและลดภาระของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน