วันที่ 17 กันยายน 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศไทย โดยที่ผ่านมา นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้ออกประกาศฉบับที่ 21/2568 ลงวันที่ 15 กันยายน 2568 เตือนให้ทุกภาคส่วนและประชาชนเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงระหว่างวันที่ 17 – 22 กันยายน 2568 อันเป็นช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญกับอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้น และร่องมรสุมที่พาดผ่านหลายพื้นที่ ประกอบกับปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งคาดว่าจะทำให้สถานการณ์อุทกภัยในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำสายหลัก ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
จากรายงานสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ ประจำวันที่ 17 กันยายน 2568 เวลา 7.00 น. พบว่าในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีปริมาณฝนสะสมสูงสุดในหลายพื้นที่ อาทิ จังหวัดตาก (ภาคเหนือ) 76 มิลลิเมตร จังหวัดสกลนคร (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) 62 มิลลิเมตร จังหวัดกาญจนบุรี (ภาคตะวันตก) 90 มิลลิเมตร กรุงเทพมหานคร (ภาคกลาง) 75 มิลลิเมตร จังหวัดตราด (ภาคตะวันออก) 82 มิลลิเมตร และจังหวัดนราธิวาส (ภาคใต้) 55 มิลลิเมตร กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า สภาพอากาศในวันนี้และช่วงวันที่ 18 – 21 กันยายน 2568 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดจันทบุรีและตราด และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ได้แก่ จังหวัดระนองและพังงา
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงในช่วงเวลาเดียวกันนี้ โดยคาดการณ์ว่าระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียง อาจมีความสูงประมาณ 1.70 – 1.90 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำวิกฤติประมาณ 0.20 เมตร สาเหตุมาจากร่องมรสุมที่พาดผ่าน ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุม ทำให้มีฝนตกในหลายพื้นที่ และส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำจะเพิ่มสูงขึ้น เกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร หรือที่เรียกว่า "แนวฟันหลอ" ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม จะได้รับผลกระทบโดยตรง
สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำภาพรวมของประเทศในขณะนี้ อยู่ที่ร้อยละ 76 ของความจุเก็บกักทั้งหมด คิดเป็น 61,007 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีปริมาณน้ำใช้การอยู่ที่ร้อยละ 64 หรือประมาณ 36,886 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือเป็นปริมาณที่ต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อรับมือกับปริมาณน้ำฝนที่จะเพิ่มขึ้น
ข้อมูลเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ระบุว่า มีพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยไปแล้วใน 12 จังหวัด รวม 45 อำเภอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลายพื้นที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง จังหวัดที่ได้รับผลกระทบได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก (อ.วังทอง และบางระกำ) จังหวัดพิจิตร (อ.เมืองฯ สามง่าม โพทะเล โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง บางมูลนาก ทับคล้อ ดงเจริญ และสากเหล็ก) จังหวัดเพชรบูรณ์ (อ.บึงสามพัน วิเชียรบุรี และศรีเทพ) จังหวัดนครสวรรค์ (อ.เมืองฯ ชุมแสง และตาคลี) จังหวัดอุทัยธานี (อ.เมืองฯ) จังหวัดชัยนาท (อ.เมืองฯ สรรพยา มโนรมย์ และวัดสิงห์) จังหวัดสิงห์บุรี (อ.เมืองฯ อินทร์บุรี และพรหมบุรี) จังหวัดอ่างทอง (อ.เมืองฯ ป่าโมก วิเศษชัยชาญ และไชโย) จังหวัดสุพรรณบุรี (อ.เมืองฯ บางปลาม้า เดิมบางนางบวช และสองพี่น้อง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (อ.เสนา ผักไห่ บางบาล บางไทร บางปะอิน และพระนครศรีอยุธยา) จังหวัดนครปฐม (อ.เมืองฯ บางเลน สามพราน และกำแพงแสน) และจังหวัดฉะเชิงเทรา (อ.เมืองฯ และบางน้ำเปรี้ยว)
ปัจจุบัน ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 22/2568 ลงวันที่ 16 กันยายน 2568 แจ้งเตือนประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศให้เตรียมรับมือกับฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่ระบายน้ำไม่ทัน ในช่วงระหว่างวันที่ 18 – 24 กันยายน 2568 การประเมินสถานการณ์น้ำครั้งนี้ดำเนินการร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
พื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง ครอบคลุมหลายจังหวัด โดยในภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย (อำเภอเมืองเชียงราย แม่สาย เชียงของ เชียงแสน แม่จัน) เชียงใหม่ (อำเภออมก๋อย) น่าน (อำเภอแม่จริม เวียงสา) แม่ฮ่องสอน (อำเภอขุนยวม แม่สะเรียง สบเมย) ตาก (อำเภอท่าสองยาง พบพระ แม่ระมาด สามเงา อุ้มผาง) กำแพงเพชร (อำเภอคลองลาน ปางศิลาทอง) พิษณุโลก (อำเภอนครไทย เนินมะปราง) เพชรบูรณ์ (อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ หล่มสัก หล่มเก่า เขาค้อ วิเชียรบุรี ศรีเทพ) และนครสวรรค์ (อำเภอแม่เปิน)
สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่เสี่ยงได้แก่ จังหวัดเลย (อำเภอวังสะพุง) หนองคาย (อำเภอเมืองหนองคาย) อุดรธานี (อำเภอกุมภวาปี กู่แก้ว ไชยวาน โนนสะอาด เมืองอุดรธานี วังสามหมอ ศรีธาตุ) สกลนคร (อำเภอวานรนิวาส วาริชภูมิ อากาศอำนวย) นครพนม (อำเภอนาแก) มุกดาหาร (อำเภอดงหลวง หนองสูง) กาฬสินธุ์ (อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ท่าคันโท ยางตลาด สามชัย หนองกุงศรี ห้วยเม็ก) ชัยภูมิ (อำเภอเทพสถิต หนองบัวแดง) ขอนแก่น (อำเภอกระนวน น้ำพอง) มหาสารคาม (อำเภอชื่นชม) ร้อยเอ็ด (อำเภอเมืองร้อยเอ็ด เกษตรวิสัย ธวัชบุรี พนมไพร เมืองสรวง เสลภูมิ หนองพอก อาจสามารถ) ยโสธร (อำเภอคำเขื่อนแก้ว) อำนาจเจริญ (อำเภอเมืองอำนาจเจริญ ปทุมราชวงศา พนา ลืออำนาจ) นครราชสีมา (อำเภอเมืองนครราชสีมา ครบุรี จักราช ชุมพวง โชคชัย โนนแดง โนนสูง ปักธงชัย พิมาย สีคิ้ว สูงเนิน หนองบุญมาก) บุรีรัมย์ (อำเภอเมืองบุรีรัมย์ กระสัง ชำนิ นางรอง พลับพลาชัย ลำปลายมาศ สตึก หนองกี่ หนองหงส์) สุรินทร์ (อำเภอเมืองสุรินทร์ กาบเชิง ชุมพลบุรี ท่าตูม ปราสาท ศรีณรงค์ ศีขรภูมิ สังขะ สำโรงทาบ) ศรีสะเกษ (อำเภอขุขันธ์ ขุนหาญ ปรางค์กู่) และอุบลราชธานี (อำเภอกุดข้าวปุ้น เขมราฐ เดชอุดม ตระการพืชผล ทุ่งศรีอุดม นาจะหลวย นาเยีย น้ำขุ่น น้ำยืน บุณฑริก พิบูลมังสาหาร สว่างวีระวงศ์ สิรินธร)
ส่วนในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดนครนายก (อำเภอเมืองนครนายก บ้านนา) ฉะเชิงเทรา (อำเภอท่าตะเกียบ สนามชัยเขต) ปราจีนบุรี (อำเภอกบินทร์บุรี นาดี) สระแก้ว (อำเภอเมืองสระแก้ว ตาพระยา วัฒนานคร) ชลบุรี (อำเภอบางละมุง ศรีราชา) ระยอง (อำเภอเมืองระยอง ปลวกแดง นิคมพัฒนา) จันทบุรี (อำเภอแก่งหางแมว ขลุง เขาคิชฌกูฏ มะขาม) และตราด (อำเภอเมืองตราด เขาสมิง คลองใหญ่ บ่อไร่ เกาะช้าง เกาะกูด)
นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุเก็บกักในหลายจังหวัดทั่วประเทศ และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาบริหารจัดการน้ำเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก และเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
สถานการณ์น้ำในแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาที่ต้องเฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ได้แก่ แม่น้ำสาย บริเวณอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย, แม่น้ำยม บริเวณอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก, แม่น้ำแควน้อย บริเวณอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก, ลำน้ำยัง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด, แม่น้ำชี อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร และอำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ, แม่น้ำมูล อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี, และ แม่น้ำปราจีนบุรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
สทนช. ยังเน้นย้ำให้เฝ้าระวังผลกระทบจากระดับน้ำใน แม่น้ำโขง ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีปริมาณฝนตกสะสมในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจังหวัดริมแม่น้ำโขง ได้แก่ เชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี รวมถึงผลกระทบจากการที่เขื่อนเจ้าพระยาอาจเพิ่มการระบายน้ำ ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา สูงขึ้นและล้นตลิ่งในพื้นที่คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง, คลองบางบาล แม่น้ำน้อย อำเภอเสนา และผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, อำเภอเมืองสิงห์บุรี อินทร์บุรี พรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี, อำเภอไชโย ป่าโมก จังหวัดอ่างทอง, และอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท พร้อมกันนี้ให้เฝ้าระวังกิจกรรมการใช้น้ำและการสัญจรทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว สทนช. ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ตลอด 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมหรือเกิดน้ำท่วมขังเป็นประจำ
นอกจากนี้ ยังให้ติดตาม ตรวจสอบ ซ่อมแซมแนวคันบริเวณริมแม่น้ำ เร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมวางแผนบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมและสอดคล้องกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมถึงเร่งระบายและพร่องน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ฝนที่คาดว่าจะตกหนัก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังต้องเตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักร เครื่องมือ และระบบสื่อสาร เพื่อบูรณาการการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ที่สำคัญคือต้องประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำและแจ้งเตือนล่วงหน้าให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเตรียมพร้อมในการขนของขึ้นสู่ที่สูงหรืออพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์