เมื่อวันที่ 17 ก.ย.68 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนส.ค.68 อยู่ที่ระดับ 86.4 ปรับตัวลดลงจากระดับ 86.6 ในเดือนก.ค.68 ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง จากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 68 ที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย, ความไม่ชัดเจนของอัตราภาษีสหรัฐฯ ในประเด็น Regional Value Content (RVC) และรายการสินค้าที่จะเปิดตลาดให้สหรัฐ, ผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ปัญหาขาดแคลนแรงงานในระยะสั้น หลังจากแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ และเงินบาทแข็งค่า

ขณะที่ยังพอมีปัจจัยบวก ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.50%, การอนุมัติงบประตุ้นเศรฐกิจ 18,500 ล้านบาท และยอดขายรถยนต์ในประเทศ มีแนวโน้มขยายตัว

ส่วนดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยมาอยู่ที่ระดับ 88.9 ทั้งนี้ค่าดัชนีฯ ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 สะท้อนว่าว่าความเชื่อมี่นของผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ไม่ดี โดยผู้ประกอบการมีความกังวลต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่, อุปสงค์จากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ดี มองว่าโครงการ "คนละครึ่ง" ที่รัฐบาลชุดใหม่จะนำกลับมาอีกครั้ง จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้

1. ขอให้เร่งติดตามข้อสรุปเกี่ยวกับเงื่อนไขภาษี Reciprocal Tariff โดยเฉพาะประเด็น Regional Value Content (RVC) รวมถึงรายการสินค้าที่ไทยจะเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบ

2. ขอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านรายจ่ายลงทุน ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569

3. เสนอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ให้นำรายจ่ายค่าขนส่ง และโลจิสติกส์ส่วนเพิ่ม มาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า เป็นต้น

4. ขอให้ภาครัฐปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนการนำวัสดุที่เหลือใช้ และผลิตภัณฑ์พลอยได้ ไปใช้เป็นประโยชน์ในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เช่น เศษอลูมิเนียม ขี้เถ้าแกลบ แม่พิมพ์เซรามิกใช้แล้ว เป็นต้น