วันที่ 17 ก.ย.68 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ระบุว่า...

ยุคการเมืองไร้เสถียรภาพ

ผมทราบข่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกุลนายกรัฐมนตรี ได้นำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ขึ้นทูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว น่าจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ในเร็วๆนี้ เชื่อว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้ จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองอย่างแน่นอน

การได้ตกลงกันใน MOA กับพรรคประชาชน ว่าจะมีการยุบสภาภายใน4เดือน นับตั้งแต่หลังจากได้แถลงนโยบายต่อสมาชิกรัฐสภาแล้ว จากนั้นคงจะนับถอยหลังไปสู่การยุบสภา รัฐบาลคงจะทำอะไรได้ไม่มากนัก เพราะเวลาจำกัด นโยบายหลักๆก็ไม่สามารถจะวางรากฐานอะไรได้ ทุกฝ่ายก็เตรียมตัวเพื่อไปสู่สนามเลือกตั้ง

การเมืองในภาพรวมยิ่งไม่มีเสถียรภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายนิติบัญญัติ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถ้านับองค์ประชุมเมื่อไหร่ ก็เป็นอันว่าสภาล่มเมื่อนั้น เพราะรัฐบาลไม่สามารถรักษาองค์ประชุมได้ เพราะไม่ได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก จึงอยู่ที่ฝ่ายค้าน คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ถ้าหากทั้ง2พรรคนี้ไม่ร่วมมือกับรัฐบาลในการอยู่เพื่อเป็นองค์ประชุม ก็ไม่สามารถที่ประชุมต่อได้

พวก สส.ทุกคนต่างใจจดใจจ่ออยู่กับการเลือกตั้งที่จะมาถึงภายใน4เดือนข้างหน้า ซึ่งมีส.ส.หลายคนเคลื่อนไหวต้องการเปลี่ยนพรรคการเมือง หรือคิดจะย้ายพรรคกัน จนมีการพูดกันว่า ตลาดนัดส.ส.เริ่มเกิดขึ้นแล้ว เหมือนกับตลาดนัดวัวควายของเกษตรกร มีพรรคการเมืองหลายพรรค ซื้อตัวส.ส.กันแล้ว โดยเฉพาะส.ส.เกรด A ราคาค่าตัวคนละ 80 ล้านบาท เกรด B ราคาคนละ 50 ล้านบาท เกรด C ราคาคนละ 30 ล้านบาท

ซึ่งทำให้ส.ส.หลายคนพร้อมที่จะย้ายพรรค ทำให้การเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ มีการต่อสู้กันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ทุนหรือใช้กระสุน เพื่อต้องการให้ตัวเองกลับเข้ามาเป็นส.ส.อีกครั้งหนึ่ง จะเป็นการวัดกันระหว่างกระแสกับกระสุนใครจะแน่กว่ากัน ฝ่ายที่สร้างกระแสก็สร้างกันไป ขายจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมือง เป็นแนวทางการหาเสียงในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งใช้ทุนอย่างมหาศาล เพื่อซื้อเสียง ซึ่งเป็นวงจรอุบาทว์ของการเมืองเมืองไทยอย่างไม่จบสิ้น

การจะแก้ไขปัญหาการเมืองเหล่านี้ได้หรือไม่ ก็อยู่ที่ประชาชน ซึ่งประชาชนเท่านั้น จะเป็นผู้ตัดสินอนาคตของประเทศ