วันที่ 16 กันยายน 2568 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความท้าทายเพิ่มเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทิศทางการค้าและการลงทุนทั่วโลกรวมทั้งกดดันภาคการผลิต และการส่งออกของไทย ให้ต้องเร่งปรับตัว ภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ดังนั้น ธปท. จึงปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่ยังให้ความสำคัญกับการรักษาพื้นที่ทางนโยบาย policy space ไว้รองรับความไม่แน่นอนในอนาคต
ทั้งนี้เป้าหมายหลักของการทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 4 ครั้ง (ตั้งแต่ปลายปี 67- ส.ค.68) สู่ระดับ 1.5% ในช่วงนี้ไม่ใช่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เป็นการผ่อนคลายภาวะการเงิน และบรรเทาภาระให้กับภาคธุรกิจ และครัวเรือนที่เปราะบาง เพื่อเอื้อต่อการปรับตัวรับกับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้ นอกจากการผ่อนคลายภาวะการเงินแล้ว ธปท. ยังได้ออกมาตรการภายใต้โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" เพื่อช่วยกลุ่มเปราะบางที่มีศักยภาพให้สามารถรักษาทรัพย์สิน และลดภาระหนี้เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาจ่ายไหวและไปต่อได้
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า การสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวนั้น จะต้องมีการปรับปรุงที่โครงสร้าง เพราะมองว่าการแก้ปัญหาด้วยการใช้นโยบายในเชิงกระตุ้น จะช่วยการเติบโตของเศรษฐกิจได้เพียงแค่ช่วงสั้น ๆ หรือแค่ชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลทุกยุคสมัยที่ผ่านมา มักใช้นโยบายการกระตุ้นที่ช่วยเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่แก้ไขปัญหาที่โครงสร้างเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขีดความสามารถทางการแข่งขัน ความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประสิทธิภาพแรงงาน การกระจายรายได้ เศรษฐกิจไทย ก็จะยังเติบโตได้ไม่เต็มศักยภาพ
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ในปี 2568 ธปท. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.3% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวได้ 3% และคาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะอยู่ที่ราว 1% สอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ขณะที่สำนักเศรษฐกิจอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ขึ้นมาที่ราว 2% แล้ว จากที่ก่อนหน้านี้ต่างประเมินว่าไม่ถึง 2% จากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐ ดังนั้นจึงสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไม่ได้ชะลอตัวมากนัก
อย่างไรก็ตามในปี 2569 ยอมรับว่ามีความเสี่ยงขาลง ทั้งเรื่องงบประมาณที่อาจจะล่าช้า หากรัฐบาล 4 เดือนยุบสภา และต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ จะเข้าใกล้ช่วงที่ต้องจัดทำงบประมาณปี 2570 ซึ่งหากในขั้นตอนนี้สะดุดก็จะทำให้การจัดทำงบประมาณปี 2570 ล่าช้าออกไป จึงทำให้ ธปท. มองว่าปี 2569 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.7% ซึ่งลดลงจากปีนี้
"มองว่าสิ่งที่ยังมีความน่ากังวล คือ ความเสี่ยงด้านการคลัง โดยหากมองไปในระยะข้างหน้า ยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตา เพราะในปัจจุบันภาคการคลังไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน หลังจากช่วงโควิด-19 มีการใช้ทรัพยากรไปมากในการพยุงเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่อยากเห็นหลังจากใช้กระสุนทางการคลังไปมากแล้ว ก็ควรจะต้องเริ่มรัดเข็มขัดให้ฐานะทางการคลังกลับมาในรูปแบบที่สร้างเสถียรภาพในระยะปานกลางให้สูงขึ้น เพราะหากไม่มีการปรับในส่วนนี้ ก็มีความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือได้" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว และว่าหากดูค่าเฉลี่ยรายจ่ายรัฐบาลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เติบโต 4% ขณะที่รายได้ภาครัฐ โตเฉลี่ย 1.7% ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามเทรนด์นี้ สิ่งที่จะเกิดคือ การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้สูงขึ้น ตอนนี้ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีเพิ่มขึ้น ไม่ได้ลดลง เสี่ยงต่อการถูกลดเครดิตประเทศ หากปล่อยไปตามยถากรรม
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า ปัญหาเรื่องความยั่งยืนทางการคลัง เป็นประเด็นที่น่ากังวล เพราะไม่ได้ปรับได้ในวันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่ต้องเห็นภาพที่ชัดเจนว่ามีการปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่าน ต้องมีแผนการเติบโตของรายได้ และการควบคุมรายจ่ายเป็นอย่างไร ขอย้ำว่าไม่ใช่ว่าตอนนี้ไทยเกิดวิกฤติทางการคลัง ยืนยันว่าไม่ใช่ แต่ก็อยู่ในจุดที่ไม่ควรชะล่าใจ ควรมีแผนรองรับระยะยาว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในฝั่งการคลัง ดังนั้นถือเป็นการบ้านของรัฐบาลใหม่ ที่จะต้องเข้ามาดูแลเรื่องเสถียรภาพทางการคลัง เพราะมีแนวโน้มที่การเป็นรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในช่วงระยะเวลาไม่นาน มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยหวังให้เห็นผลในระยะสั้น ซึ่งยอมรับว่ามีความจำเป็น แต่จะต้องเป็นการใช้งบประมาณอย่างระมัดระวังและอยู่ในกรอบ และไม่ทำให้ประชาชนเสพติดการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงการที่รัฐบาลใหม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการทำงานเพียง 4 เดือนหลังแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า อาจทำให้ต้องเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่หนักกว่าเดิม แม้จะเข้าใจว่ายังเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่อยากมองว่าถ้าอยากให้คนเลือกรัฐบาลชุดนี้กลับมาอีก ก็จำเป็นต้องทำมาตรการระยะยาวด้วย เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่ง มีความเสี่ยงที่คนจะเสพติด ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลพิจารณามาตรการที่สอดคล้องกับกรอบความยั่งยืนทางการคลังในระยะปานกลางด้วย หากจะใช้งบประมาณจำนวมากในการทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ก็ควรต้องมีแผนหาจัดรายได้เพิ่มขึ้นด้วย เช่น การปรับขึ้นภาษี เพราะจะได้ทำให้บรรดาบริษัทจัดอันดับเครดิตเห็นว่าประเทศไทยไม่มีปัญหาในภาคการคลังระยะยาว
ส่วนการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนนั้น นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้น/ลง ในระดับ 0.25% ไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก การแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน คือการสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น เพราะหากรายได้ไม่ฟื้น ปัญหาหนี้ก็จะไม่หมดไป ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือจะต้องเดินหน้าการทำกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ การทำให้ลูกหนี้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลโดยตรงต่อการแก้หนี้ได้มากกว่าในเรื่องการปรับหรือไม่ปรับดอกเบี้ย