งานประกาศรางวัล Primetime Emmy Awards ครั้งที่ 77 ที่จัดขึ้น ณ Peacock Theater ใจกลางนครลอสแอนเจลิส ได้สร้างปรากฏการณ์ไวรัลอีกครั้งในวงการบันเทิงโลก ตั้งแต่การมอบเงินสดเพื่อกระตุ้นให้ผู้ชนะกล่าวสุนทรพจน์สั้นกระชับ ไปจนถึงการสร้างประวัติศาสตร์ด้านรางวัลและคำขอบคุณที่จับใจผู้ชมทั่วโลก

ปีนี้ ซีรีส์ที่กวาดรางวัลใหญ่ประกอบด้วย The Pitt ซีรีส์แนวการแพทย์จาก HBO, The Studio ละครเสียดสีวงการฮอลลีวูดจาก Apple TV+ และ Adolescence มินิซีรีส์แนวจิตวิทยาสั่นประสาทจาก Netflix ซึ่งแต่ละเรื่องต่างสร้างกระแสถกเถียงและความประทับใจทั้งในอเมริกาและต่างประเทศ

ทราเมลล์ ทิลล์แมน สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นชายผิวดำคนแรกที่คว้ารางวัลเอ็มมีสาขานักแสดงสมทบชายในซีรีส์ดราม่า จากบทบาทในซีรีส์ Severance ของ Apple TV+ โดยเขาได้อุทิศรางวัลให้แม่ผู้เป็นโค้ชการแสดงคนแรก พร้อมยกย่องนักแสดงผิวดำรุ่นก่อนที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิง

อีกหนึ่งโมเมนต์ใหญ่ของค่ำคืนคือการกลับมาของ สตีเฟน โคลเบิร์ต พิธีกรดังจาก The Late Show ซึ่งเพิ่งถูก CBS ยกเลิกรายการไปอย่างกะทันหัน แต่กลับคว้ารางวัลทอล์กโชว์ยอดเยี่ยม พร้อมเสียงเชียร์ “Stephen! Stephen!” กึกก้องทั่วฮอลล์

พิธีกรหลัก เนท บาร์กาตเซ ได้สร้างสีสันด้วย “เกมเวลาสุนทรพจน์” ที่เขาประกาศว่าจะบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้ Boys and Girls Club of North America แต่จะถูกหักเงิน 1,000 ดอลลาร์ทุกวินาทีที่ผู้ชนะพูดยืดยาวเกินกำหนด ทำให้บรรยากาศการประกาศรางวัลเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการลุ้นไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม หลายคนรวมถึงนักแสดง แคทเธอรีน ลานาซา จาก The Pitt ก็ยังพูดยาวจนยอดบริจาคติดลบไปกว่า 26,000 ดอลลาร์ แต่ท้ายที่สุด บาร์กาตเซก็แก้เกมด้วยการบริจาคเพิ่ม 250,000 ดอลลาร์ และ CBS สมทบอีก 100,000 ดอลลาร์ ปิดท้ายงานอย่างอบอุ่น

มินิซีรีส์ดราม่า Adolescence จากฝีมือกำกับของ ฟิลิป บารันตินี ก็คว้ารางวัลใหญ่อย่างมินิซีรีส์ยอดเยี่ยม พร้อมรางวัลนักแสดงนำชายจาก โอเวน คูเปอร์ วัยเพียง 15 ปี ซึ่งสร้างสถิติเป็นนักแสดงสมทบชายอายุน้อยที่สุดที่คว้ารางวัลเอ็มมี โดยเขาได้กล่าวสุนทรพจน์สุดซึ้งถึงครอบครัวและบ้านเกิด

เอริน โดเฮอร์ตี จาก Adolescence ยังคว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมมาครองอีกด้วย ขณะที่เบื้องหลัง ผู้กำกับบารันตินีเผยว่าการถ่ายทำในยอร์กเชอร์มีเป้าหมายเพื่อสร้างการถกเถียงเรื่องอาชญากรรมมีดในสหราชอาณาจักร แต่ไม่คาดคิดว่าจะดังไกลระดับโลก

ฝั่ง The Studio ที่มี เซธ โรเกน ร่วมสร้างและแสดงนำ ก็ไม่แพ้กัน เพราะกวาดรางวัลหลายสาขา จนเจ้าตัวถึงกับอำไม่สามารถถือถ้วยทั้งหมดได้ โดยเขาพูดติดตลกว่า “มันเริ่มน่าอายแล้ว” กลายเป็นอีกหนึ่งไวรัลบนโลกโซเชียล

ด้าน The Pitt ของ HBO ยังคงครองบัลลังก์ซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยมติดต่อกัน โดย โนอาห์ ไวล์ คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม พร้อมคำกล่าวที่เขายกให้เป็น “ความฝัน” ของชีวิตการแสดง และผู้สร้าง R Scott Gemmill ก็อุทิศรางวัลนี้ให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก

แคทเธอรีน ลานาซา ยังเสริมความสำเร็จให้ The Pitt ด้วยการคว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากบทพยาบาลมืออาชีพที่ผู้ชมต่างยกย่องว่าเป็นการแสดงทรงพลัง

นอกจากการเฉลิมฉลองความสำเร็จแล้ว งาน Emmy ปีนี้ยังสะท้อนประเด็นทางการเมืองและสังคม เมื่อ ฮันนาห์ ไอน์บินเดอร์ จาก Hacks ใช้เวทีสุนทรพจน์เรียกร้อง “ปลดปล่อยปาเลสไตน์” และวิจารณ์นโยบายตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมา

ก่อนหน้านี้ กลุ่ม Film Workers for Palestine เพิ่งออกแถลงคว่ำบาตรสถาบันภาพยนตร์อิสราเอล ทำให้การปรากฏตัวของ ฮาเวียร์ บาร์เด็ม พร้อมผ้าคลุมเคฟฟีเยห์ และ เมแกน สตอลเตอร์ ที่ถือกระเป๋าสลักคำว่า “หยุดยิง!” บนพรมแดง ยิ่งตอกย้ำบทบาทการเมืองในงานประกาศรางวัลครั้งนี้

งาน Primetime Emmy Awards ครั้งที่ 77 จึงไม่เพียงเป็นเวทีแห่งเกียรติยศสำหรับวงการโทรทัศน์ แต่ยังกลายเป็นกระจกสะท้อนประเด็นสังคม การเมือง และความหวังที่ศิลปินพยายามสื่อสารต่อผู้ชมทั่วโลก
 

#Emmys2025 #PrimetimeEmmys #ThePitt #TheStudio #Adolescence #StephenColbert #TramellTillman #Hollywood #Netflix #HBOMax #AppleTVPlus #EmmyAwards #EntertainmentNews