วันที่ 15 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านแจ้งว่า มีชายกำลังเดินแก้ผ้าอยู่บริเวณถนนนิตโยหมายเลข 2 อุดรธานี–สกลนคร ขาออกเมืองอุดรธานี สร้างความตกใจให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างมาก โดยชายคนนี้เดินแก้ผ้าล่อนจ้อนแบบนี้ ไม่รู้จะเป็นปกติหรือคนบ้ากันแน่ ห่วงจะวิ่งให้รถชนหรือถูกรถชน หรืออาจจะคลั่งขึ้นมาทำร้ายประชาชนที่สัญจรไปมาได้ ชาวบ้านก็พากันตกอกตกใจ เกิดอะไรขึ้น อุดรคือเป็นแบบนี้

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบถึงกับตะลึง เพราะพบว่ามีชายเดินเปลือยจริง ๆ โดยระหว่างทางยังหยุดพักเหนื่อยหน้าร้านค้าแห่งหนึ่งใน ต.หนองนาคำ ซึ่งผู้สื่อข่าวได้เข้าไปพูดคุย พบว่ายังพอสนทนาโต้ตอบเข้าใจได้ โดยชายรายนี้อ้างว่าตนเองชื่อ “น.ส.ภาวิณี” หรือ “น้องทรายสะท้อนแสง” และสอบถามว่าอยากดื่มน้ำใช่ไหม แต่ชายชื่อน.ส.ภาวิณี บอกว่า น้ำไม่ต้องขอกาแฟ จึงจัดหากาแฟกระป๋องมาให้ 1 กระป๋อง

ขณะเดียวกันนางไร อายุ 74 ปี เจ้าของร้านขายของชำในพื้นที่ที่พบชายรายนี้ เปิดเผยว่า ไม่เคยเห็นมาก่อนและรู้สึกหวาดกลัว จึงนำกางเกงขาสั้นมาให้เพื่อปกปิดร่างกาย ช่วงแรกชายดังกล่าวไม่ยอมใส่ แต่เมื่อถูกเกลี้ยกล่อมพร้อมเตือนว่าอาจถูกตำรวจจับ ก็ยอมใส่กางเกงก่อนเดินจากไป

ทางด้าน พ.ต.ท.ชัยรัตน์ ประสานพันธ์ รองผกก.ป.สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า ในห้วงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาคนเร่ร่อนในพื้นที่ 2 ประเด็นสำคัญ คือ ตรวจสอบบุคคลเร่ร่อนที่ไม่มีบ้านหรือหลักแหล่งว่า เคยมีประวัติการกระทำความผิดหรือไม่ พร้อมดูแลกลุ่มบุคคลเร่ร่อนที่เดินสร้างความไม่สบายใจแก่ประชาชนหรือไม่ โดยกลุ่มคนเร่ร่อนแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ คนที่มีบ้านหรือญาติพี่น้อง ขอให้ครอบครัวช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนที่ไม่มีญาติหรือบ้าน หากก่อความเดือดร้อน ตำรวจจะควบคุมตามกฎหมาย พร้อมประสานหน่วยงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำเข้าสู่ระบบการดูแลตามขั้นตอนต่อไป

สำหรับพื้นที่จังหวัดอุดรธานี พบว่ามีคนเร่ร่อนและผู้ป่วยจิตเวชในพื้นที่จำนวนมาก โดยเฉลี่ยแล้วมีการก่อเหตุวันละ 1–2 เคส คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 100 คน ซึ่งบางรายอยู่ในระบบการดูแล แต่บางส่วนยังตกสำรวจ ทั้งนี้ ตำรวจจะบูรณาการความร่วมมือกับเทศบาล และหน่วยงานพัฒนาสังคมฯ เพื่อตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลอีกครั้ง อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาคนไร้ที่พึ่งและผู้ป่วยทางจิตที่ยังขาดการดูแลอย่างเป็นระบบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและสังคมในวงกว้าง จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานภาครัฐ ทั้ง ตำรวจ หน่วยสาธารณสุข และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรเร่งเข้ามาตรวจสอบ ดูแล และจัดหาที่พักพิงหรือการรักษาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ชายรายนี้หรือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันต้องใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทาง และเพื่อให้ชุมชนเกิดความอุ่นใจมากขึ้น