เสียงทวงถามถึงคดี “ฮั้ว ส.ว.” ที่อาจจะถูก “เป่า” หายไปกับฝุ่นในสายลม หลังขั้วการเมืองเปลี่ยนไปอยู่ในมือรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ด้วยต้องยอมรับว่าคดีฮั้ว ส.ว.นั้นหากผลออกมาเป็นลบ จะสร้างแรงสั่นสะเทือนถึง                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                      การเปลี่ยนการเมืองไทยในระดับฐานราก

ด้วยคดีนี้มีการกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องมากถึง 229 คน แบ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา 138 คน และบุคคลภายนอกอีก 91 คน ซึ่งมีชื่อของอนุทิน ชาญวีรกูล และเนวิน ชิดชอบถูกพาดพิงด้วย ย่อมทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่พรรคภูมิใจไทยว่าจะแก้เกมอย่างไร

ด้วยหลักฐานที่ปรากฏถือว่าหนักแน่น ทั้งโพยลงคะแนนมากกว่า 10 ชุด ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ เส้นทางการเงิน และเทคโนโลยี AI ตรวจสอบการลงคะแนน ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่คดีที่ปล่อยผ่านได้ง่าย แต่กลับยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อทั้งพรรคการเมืองและกลไกยุติธรรม

ในท่ามกลางแรงกดดันนั้น แนวคิด “ตัดอวัยวะ รักษาชีวิต” ถูกโยนหินถามทางออกมา ว่าเป็นกลยุทธ์ที่ภูมิใจไทยอาจต้องเลือก การยอมให้ ส.ว. บางคนถูกตัดสิทธิออกจากตำแหน่งถูกมองว่าเป็นการเสียสละเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อกันไม่ให้แรงกระแทกพุ่งตรงถึงตัวพรรค การเสียตำแหน่งของบุคคลบางส่วนจึงเทียบได้กับการปล่อยอวัยวะที่ติดโรคไปเพื่อรักษาร่างกายใหญ่เอาไว้ กลยุทธ์นี้มีน้ำหนักในแง่การป้องกันไม่ให้คดีบานปลายไปสู่การยุบพรรค และยังช่วยสงวนฐานอำนาจของพรรคในรัฐบาลและในสภาได้ นี่เป็น “ราคาที่ต้องจ่าย”

แต่กระนั้น ระหว่างทางก่อนจะไปถึงบทสรุปสุดท้าย ปัญหาสำคัญที่ท้าทายอยู่ที่จังหวะและกระบวนการของ กกต. ที่ถูกมองว่าดำเนินงานเชื่องช้าเกินไป การตรวจสอบตามกรอบเวลา 60 วันของเลขาธิการ กกต. และอีก 90 วันของคณะอนุกรรมการวินิจฉัย อาจลากยาวไปจนสิ้นปี ความล่าช้าของกระบวนการนี้เปิดโอกาสให้ ส.ว. ชุดปัจจุบันยังคงมีสิทธิแต่งตั้งองค์กรอิสระใหม่ รวมถึงกรรมการ กกต. ชุดใหม่ถึง 5 คนจากทั้งหมด 7 คน นั่นหมายความว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหากลับจะได้มีบทบาทโดยตรงในการคัดเลือกบุคคลที่จะมาตัดสินชะตาคดี หากเป็นเช่นนั้นความเป็นกลางของการวินิจฉัยก็จะถูกตั้งคำถาม และความเป็นอิสระขององค์กรตรวจสอบจะอยู่ที่ตรงไหน

ในขณะเดียวกัน สำนวนคดีที่อยู่กับ DSI ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อหาอั้งยี่และฟอกเงินก็มีแนวโน้มถูกรีรอ สัญญาณของการกลับคำให้การของพยานบางปากสะท้อนแรงกดดันที่ผู้เกี่ยวข้องกำลังเผชิญ และเมื่อพรรคที่ถูกพาดพิงมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ก็ยิ่งเพิ่มความกังวลว่ากระบวนการยุติธรรมจะถูกแทรกแซงโดยตรงหรือทางอ้อม ความไม่แน่นอนนี้ทำให้กลยุทธ์ “ตัดอวัยวะ รักษาชีวิต” แม้จะมีประโยชน์เชิงการเมืองในระยะสั้น แต่ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงในระยะยาว

คดีฮั้ว ส.ว. ไม่ได้เป็นเพียงคดีทุจริตเลือกตั้ง หากแต่เป็นบททดสอบศรัทธาของประชาชนต่อระบบการเมืองไทย กลยุทธ์ “ตัดอวัยวะ รักษาชีวิต” อาจช่วยให้พรรคภูมิใจไทยรักษาโครงสร้างใหญ่ของตนไว้ได้ แต่สิ่งที่สังคมต้องการเห็นคือการยืนหยัดบนหลักนิติรัฐและความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างแท้จริง

#ฮั้วสว. #อนุทินชาญวีรกูล #ภูมิใจไทย #การเมืองไทย #ยุบสภา #ตัดอวัยวะรักษาชีวิต