พรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเผชิญหน้ากับภาวะ “ไร้ผู้นำ” ผนวกกับศึกใน ภายในพรรคทื่ยืดเยื้อมายาวนาน แต่แล้วสถานการณ์เข้าสู่โหมดเดือดทะลุปรอท
เมื่อ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน ลาออกจากหัวหน้าพรรค แม้จะอ้างเหตุจากปัญหาสุขภาพ แต่หลายคนต่างรู้ดีว่า “ไม่ใช่ข้อเท็จจริง” !
เมื่อเฉลิมชัย ลาออกอย่างเป็นทางการ ภายในพรรคประชาธิปัตย์เกิดคลื่นใต้น้ำทันที เพราะการลุกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรค ของเฉลิมชัย มาจากความขัดแย้ง กับ “เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรค นั่นเอง
เท่ากับว่า ทั้งหัวหน้าพรรคกับเลขาฯพรรค ไม่สามารถ “เดินไปด้วยกันได้” สาเหตุมาจาก ที่เดชอิศม์ ออฟไซต์ แสดงตัวเปิดเผยไปสนับสนุน “พรรคเพื่อไทย” ร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมทั้งยังร่วมคณะเจรจากับพรรคเพื่อไทย โดยที่ “ไม่แจ้ง” เฉลิมชัย ทั้งที่เป็นหัวหน้าพรรค มิหนำซ้ำ เดชอิศม์ ยังประกาศว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุน พรรคภูมิใจไทย เขาจะลาออกจากพรรค
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การตัดสินใจเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญของพรรคสีฟ้า ต้องผ่านการประชุมและออกมาเป็น “มติพรรค” มาโดยตลอด แต่การที่เดชอิศม์ ไปร่วมคณะเจรจากับพรรคเพื่อไทย โดยที่ไม่แจ้งหัวหน้าพรรคตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่อง “ผิดคิว” หรือ “ลืมบอก” เท่านั้น
ความคุกรุ่นปัญหาภายในพรรคประชาธิปัตย์ กำลังกลายเป็น “โจย์ยาก” ที่จะทำให้การเดินหน้าของพรรค ขยับต่อไปไม่ง่ายนัก เพราะวันนี้พรรคเหลือสส.เพียง 25 คน หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไปถึงขั้น “ปรับทัพ” กันใหม่ โอกาสที่จะลดน้อยจนกลายเป็นพรรคขนาดเล็ก ย่อมเกิดขึ้น
ล่าสุดวันนี้มีความเคลื่อนไหว โดย “ธนิตพล ไชยนันทน์” ผู้อำนวยการพรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น.จะมีการประชุมกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค ชุดรักษาการ เพื่อพิจารณา วัน เวลา และสถานที่ในการจัดประชุมใหญ่วิสามัญ เลือก กก.บห.พรรคชุดใหม่ เชื่อว่าการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ คนที่ต้องการสมัคร ข้อบังคับพรรคเปิดกว้าง ให้บุคคลที่ได้รับการคัดสรรมีโอกาสมากขึ้น
คาดว่าจะได้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ปลายเดือนตุลาคมนี้
อย่างไรก็ดี เสียงเรียกร้องให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรค คัมแบค อีกครั้ง ดังขึ้นจากกองเชียร์ ที่ “เคย” เป็นสมาชิกพรรค ทั้งเทพไท เสนพงศ์ และสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตแกนนำพรรค ที่หวังว่า หากคนในพรรคได้สรุปบทเรียนสิ่งที่เกิดขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา
บทเรียนที่สะท้อนภาพปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์ มีขึ้นทั้งการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 2562 เหลือ 50 กว่าคน จากนั้นในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 เหลือ 25 คน และรุนแรงมากขึ้นเมื่อ เฉลิมชัย ตัดสินใจนำพรรคเข้าร่วมรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” เหมือนเป็น “ข้ามขั้ว” จาก “ศัตรู” มาสู่ “มิตร” ทั้งที่สองพรรคต่างฟาดฟันและยืนอยู่คนละขั้วมาหลายทศวรรษ
การเปิดทางให้อภิสิทธิ์ กลับมานำทัพอีกครั้งหรือไม่นั้น ปัญหาใหญ่อาจไม่ได้อยู่ที่ “เงื่อนไข” ข้อบังคับพรรค เท่ากับ “ศึกใน” นั้น "สงบ" แล้วหรือไม่ อย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ ทั้งขั้วเฉลิมชัย ที่เคยมีเดชอิศม์ เป็นกองหนุน อยู่ตรงข้ามกับฝั่งที่หนุนอภิสิทธิ์ อย่างชัดเจน
และเมื่อวันนี้เฉลิมชัย เลือกทางลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค จึงอาจยังไม่ใช่ บทสรุปที่ชี้ชัดได้ว่า อภิสิทธิ์ จะกลับพรรค และได้รับการโหวตให้ขึ้นหัวหน้าพรรคคนใหม่ อย่างราบรื่นหรือไม่
เมื่อมีรายงานว่า ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเรียกร้องอภิสิทธิ์ ให้กลับพรรค ซึ่งแน่นอนว่า ฝั่งที่เป็นกองเชียร์ และเคยออกจากพรรค ก็พร้อมที่จะกลับมาด้วย
ขณะที่เวลานี้ อย่าลืมว่า เลขาฯพรรค คือเดชอิศม์ จะไม่มีความเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน ดังนั้นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงอาจไม่ใช่มีเพียงอภิสิทธิ์ เท่านั้น !