“มหาวิทยาลัยกับความท้าทายใหม่ : SUN Thailand 2568 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”
เจตนารมณ์ร่วมของ 60 มหาวิทยาลัยไทยที่รวมพลัง ณ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สุพรรณบุรี

ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและสังคมเดินหน้าอย่างรวดเร็ว คำถามที่สำคัญคือ มหาวิทยาลัยไทยจะมีบทบาทอย่างไรในการขับเคลื่อนสังคมสู่อนาคตที่ยั่งยืน การประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (SUN Thailand) (สัญจร) ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568 และการประชุมครั้งที่ 3/2568 ณ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568  ได้สะท้อนชัดเจนว่า มหาวิทยาลัยมิได้เป็นเพียงสถานที่ผลิตบัณฑิตและองค์ความรู้ หากแต่เป็น “กลไกกลาง” ที่จะเชื่อมโยงนโยบาย การวิจัย และการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของสังคม

“ความท้าทายของมหาวิทยาลัย อาจจะไม่ใช่เป็นความเป็นเลิศทางการศึกษาของเด็กกลุ่มหนึ่ง ผมคิดว่าความก้าวหน้าทางสายการศึกษากับชุมชนไปไกลมาก และวันนี้หุ้นส่วนอื่น ๆ อ่อนแรงแต่ศักยภาพของมหาวิทยาลัยยังสูงอยู่ จากศักยภาพในการส่งต่อองค์ความรู้  ฉะนั้นจึงคาดหวังว่าชุมชนจะได้รับโอกาสจากมหาวิทยาลัย ก็ทำให้ชุมชนนั้นสามารถที่จะปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เป็นชุมชนที่ปลอดภัย เป็นชุมชนที่สามารถก้าวข้ามข้อท้าทายโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลายมิติ”

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวในพิธีเปิดการประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (SUN Thailand) ครั้งที่ 3/2568

ประเด็นสำคัญที่ที่ประชุมหยิบยกขึ้นมาคือการจัดการปัญหาขยะอาหาร (Food Waste) ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 12 ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดแต่กลับสะท้อนความท้าทายเชิงโครงสร้างทั้งระบบ ตั้งแต่ครัวเรือน ร้านอาหาร จนถึงธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร แนวคิด Future Food และ Protein Transition ก็เป็นอีกประเด็นที่ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางว่า อาหารในอนาคตของมนุษย์จะเดินไปทิศทางใด จึงจะตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ

ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยไทยยังต้องยกระดับบทบาทตนเองในเวทีโลก ผ่านการเข้าร่วมการจัดอันดับด้านสิ่งแวดล้อม เช่น UI Green Metric ซึ่งไม่ใช่เพียงการแข่งขันด้านตัวเลข แต่คือการสร้างมาตรฐานใหม่ให้เกิดการจัดการเชิงระบบอย่างจริงจัง การประชุมที่สุพรรณบุรีจึงมิได้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ หากแต่เป็นการส่งสัญญาณว่ามหาวิทยาลัยพร้อมจะเป็นห้องทดลองทางสังคม (Living Lab) ที่บูรณาการการเรียนรู้ วิจัย และนวัตกรรมเข้ากับการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือเจตนารมณ์ร่วมกันของมหาวิทยาลัยกว่า 60 แห่งจากทั่วประเทศที่ยืนยันว่าจะไม่ปล่อยให้ข้อสรุปการประชุมเป็นเพียงเอกสาร แต่จะร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นการลดขยะอาหารในทุกครัวเรือน การเปลี่ยนผ่านสู่แหล่งโปรตีนที่ยั่งยืน หรือการยกระดับคุณภาพชีวิตภายใต้กรอบ SDGs

ความท้าทายยังคงรออยู่ข้างหน้า คำถามคือ มหาวิทยาลัยไทยจะก้าวทันหรือไม่ จะเป็นเพียงผู้ตามกระแสโลก หรือจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง หากสามารถทำได้ บทบาทของมหาวิทยาลัยจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “สถาบันการศึกษา”   แต่จะกลายเป็นพลังทางสังคมที่จะขับเคลื่อนประเทศให้เดินไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ผศ.ดร.พรชณิตว์ แก้วเนตร
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและกิจการต่างประเทศ
ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต