เมื่อวันที่ 15 ก.ย.68 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก "Harirak Sutabutr" ระบุว่า ... การเลือกคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลคุณอนุทิน ชาญวีรกูล แม้จะเห็นว่า ได้พยายามเลือกจากคนนอก ซึ่งมีปูมหลังที่น่าเชื่อถือว่าเป็นคนมีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งและเป็นมืออาชีพ มาเป็นทีมเศรษฐกิจ แต่การตั้งคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ก็ยังหนีไม่พ้นคำว่า “โควต้า” และยังหนีไม่พ้นเรื่อง ครม สืบสันดาน พ่อเป็นไม่ได้ยกให้ลูกแทน พี่เป็นไม่ได้ให้น้องแทน เหมือนดังเช่นการตั้งร้ฐบาลทุกครั้งที่ผ่านมา
ความจริงการเป็นรัฐบาลอายุสั้นๆ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลก็ได้ เป็นโอกาสอันดีที่นักการเมืองจะแสดงสปิริต ยอมสละความต้องการส่วนตัว เลิกคิดเรื่องโควต้า แต่เปิดกว้างให้นายกรัฐมนตรีเลือกใครก็ได้ที่เหมาะสมที่สุด
น่าเสียดายที่มีโอกาสที่จะเกิดรัฐบาลในฝันเพื่อประเทศชาติได้ แต่กลับไม่ได้ใช้โอกาสนั้น ก็น่าเห็นใจนายกรัฐมนตรี เพราะหากนักการเมืองทุกคนยังยึดติดกับระบบโควต้าอย่างไม่เปลี่ยนแปลง นายกรัฐมนตรีก็คงทำอะไรไม่ได้ จึงไม่โทษนายกรัฐมนตรี แต่ต้องโทษนักการเมืองทุกคน ที่ในขณะที่มีโอกาสที่แสดงสปิริตยกเลิกระบบโควต้า ปล่อยให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกคนที่เหมาะสมที่สุด กลับไม่มีใครทำ ไม่มีใครยอมปล่อยโอกาสที่จะได้เป็นรัฐมนตรีให้ผ่านไป ไม่ว่าจะสั้นจะยาว ขอให้ได้เป็นก็พอ ถ้าตัวเองเป็นไม่ได้ ก็ส่งลูก ส่งน้อง ส่งสามี ส่งภรรยา ไปเป็นแทน ระบบโควต้าตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นระบบที่กัดกร่อนทำลายประเทศชาติเรามาเป็นเวลานาน ดังนั้นเราต้องสร้างระบบการเมืองที่จะทำให้ระบบโควต้าหมดไป เพราะตราบใดที่ยังใช้ระบบเลือกตั้งแบบที่เป็นมาทั้งหมด จะเลือกตั้งใหม่กี่ครั้ง ระบบโควต้าก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
การที่จะทำให้ระบบโควต้าหมดไป ระบบการเมืองจะต้องแยกอำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติออกจากกันให้ได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ ไม่ใช่แยกเหมือนปัจจุบัน ที่ลาออกตำแหน่งส.ส.แล้วมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ความหมายคือเมื่อเป็นส.ส.แล้ว ก็ทำหน้าที่นิติบัญญัติในสภาจนกว่าจะหมดวาระไปเลย ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ อยากเห็นเหมือนกันว่า หากระบบเป็นเช่นนี้ จะมีนักการเมืองเขี้ยวลากดินในปัจจุบันสักกี่คน ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สุดท้าย ต้องให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ไม่ต้องห่วงว่า จะกลายเป็นระบอบสาธารณรัฐ เพราะเราสามารถออกแบบระบบการเมืองของเราเองโดยไม่ต้องไปยึดติดกับระบอบใดๆในโลก เป็นระบบการเมืองที่ไม่เหมือนใคร ไม่ต้องเรียกว่า “ประชาธิปไตย” ก็ยังได้
หากระบบการเมืองเป็นเช่นนี้ ส.ส.คงเลิกซื้อเสียง เพราะซื้อไปก็ไม่มีโอกาสถอนทุนคืน พรรคการเมืองก็อาจไม่ซื้อเสียง เพราะการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง จะซื้อเสียงต้องซื้อกันทั้งประเทศ ไม่ใช่ซื้อเฉพาะในเขตเลือกตั้ง ใครจะมีเงินซื้อได้ ต้องหันมาหาเสียงด้วยการขายนโยบายอย่างแท้จริง
หากจะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่กันทั้งที ก็น่าจะจัดทำรัฐธรรมนูญที่ทำให้ให้เกิดระบบการเมืองในแบบข้างต้น เป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง เพราะจะทำให้ได้คนดีที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมเข้ามาบริหารประเทศ ไม่ใช่จัดทำรัฐธรรมนูญเพื่อสนองตัณหาของคนบางคน หรือคนบางกลุ่ม ไม่ใช่จัดทำรัฐะรรมนูญเพื่อให้ตัวเองและพรรคพวกพ้นผิด ไม่ใช่จัดทำรัฐธรรมนูญเพื่อปรับเปลี่ยนสถาบันพระมหากษัตริย์ เหมือนอย่างที่กำลังอยู่ในขณะนี้