วันที่ 14 ก.ย.2568 นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงข่าวกรณีมีการล่ารายชื่อถอดถอนตนเอง ออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่าผู้ตรวจการแผ่นดิน มีคำวินิจฉัยให้การรับรองการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่า จากการแสวงหาข้อเท็จจริงและการมีคำวินิจฉัยที่ผ่านมา มีข้อเท็จจริงดังนี้ 1. กรณีอาการเจ็บป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยรักษาโรคของแพทย์ว่าอาจมีการใช้ดุลยพินิจที่ไม่เป็นไปตามระเบียบหรือกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับการส่งตัวผู้ต้องขังออกมารักษาตัวภายนอกเรือนจำ
เนื่องจากโรงพยาบาลตำรวจชี้แจงว่า การตรวจวินิจฉัยโรครายนายทักษิณ ชินวัตร ได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางการแพทย์ ภายใต้พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 และข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2565 โดยเคร่งครัด ซึ่งผลการวินิจฉัยของโรคเป็นข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยถือเป็นความลับ และเป็นข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2552 มาตรา 7 ซึ่งกำหนดให้ “ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลเป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้น เป็นไปตามความประสงค์ของบุคคลนั้นโดยตรง หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ หรือกฎหมายอื่นเพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้” ประกอบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
ดังนั้น การรักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคลด้านสุขภาพเป็นหลักจริยธรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่แพทย์จะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การพิจารณาและวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งให้เปิดเผยหรือเข้าถึงข้อมูลการตรวจรักษาและความเห็นของแพทย์ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลได้ ซึ่งแตกต่างจากศาลซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งให้แพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยความเห็นของแพทย์และผลการตรวจรักษาและวินิจฉัยผู้ป่วยต่อศาลเพื่อประกอบการพิจารณาและวินิจฉัยคดีของศาลได้
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับข้อเท็จจริง ณ ขณะนั้น ปรากฏว่าได้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยรักษาโรคของแพทย์ว่าอาจมีการใช้ดุลยพินิจที่ไม่เป็นไปตามระเบียบหรือกฎหมายไปยังแพทยสภาโดยตรงแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้มีคำวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนเลขดำที่ 1979/2566 และ 2492/2566 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ว่า เมื่อได้มีผู้ร้องเรียนในกรณีเดียวกันนี้ไปยังแพทยสภาโดยตรงแล้ว ซึ่งแพทยสภาถือเป็นองค์กรทางวิชาชีพที่มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายโดยตรงในการตรวจสอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์ ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่อาจก้าวล่วงในกรณีดังกล่าวได้ แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม หากแพทยสภามีความเห็นในเรื่องนี้เป็นประการใดแล้ว เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการชี้แจงถึงข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวให้สาธารณชนทราบตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
ต่อมา ในระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนเลขดำที่ 1978/2566, 2535/2566 และ 2181/2566 ปรากฏข้อเท็จจริงว่า แพทยสภาได้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมดำเนินการ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 ว่า เมื่อผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการฯ เป็นประการใด หน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามกรอบหน้าที่และอำนาจต่อไป
2. นอกจากนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินยังได้มีความเห็นว่าเพื่อให้การปฏิบัติงานของกรมราชทัณฑ์ เรือนจำ/ทัณฑสถาน โรงพยาบาลสังกัดกรมราชทัณฑ์ทุกแห่ง ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งและสร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณะ ตลอดจนให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงมีข้อเสนอแนะในเชิงมาตรการบริหารเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเคร่งครัด ดังนี้
(1) ในกรณีที่แพทย์ผู้รักษาเป็นผู้รับรองว่ามีเหตุเจ็บป่วยที่ต้องรักษาตัวนอกเรือนจำ และผู้ต้องขังได้รับการพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน ขอเสนอให้แก้กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องชังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ให้มีคณะกรรมการเพื่อดำเนินการร่วมตรวจวินิจฉัยและให้ความเห็น
(2) กรณีผู้บัญชาการเรือนจำใช้ดุลยพินิจให้ผู้ต้องขังรักษาตัวนอกเรือนจำ เสนอให้กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฯ โดยให้ผู้บัญชาการเรือนจำบันทึกการใช้ดุลยพินิจไว้ในระบบของเรือนจำเพื่อการตรวจสอบ หากมีผู้ประสงค์จะขอข้อมูลให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
3. จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นจึงเห็นได้ว่า คำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินทุกเรื่องไม่ปรากฏการรับรองกระบวนการส่งตัวผู้ต้องขังออกมารักษาตัวภายนอกเรือนจำ และมิได้รับรองอาการเจ็บป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร แต่อย่างใด อีกทั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้รับการชี้แจงในรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของนายทักษิณ ชินวัตร อันเป็นข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 อีกทั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งให้เปิดเผยหรือเข้าถึงข้อมูลการตรวจรักษาและความเห็นของแพทย์ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลเช่นเดียวกับศาลดังที่กล่าวมาแล้ว ประกอบกับได้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยรักษาโรคของแพทย์ว่าอาจมีการใช้ดุลยพินิจที่ไม่เป็นไปตามระเบียบหรือกฎหมายไปยังแพทยสภาโดยตรงแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้มีคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะตามข้อ 1 และข้อ 2
4. ส่วนประเด็นว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ นั้น เป็นอำนาจในการไต่สวนและตรวจสอบของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรค 2 ที่บัญญัติว่า “เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว
ให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในศาลฎีกาจำนวนสามคน มีอำนาจออกหมายหรือคำสั่งใด ๆ ตามที่เห็นสมควร เพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล” ดังนั้น ในประเด็นเรื่องการบังคับโทษจึงมิได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินแต่อย่างใด
นายทรงศัก กล่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการปฏิบัติของหน่วยงานรัฐแล้ว ยังมีภารกิจสำคัญในการเสนอแนะให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องและครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ อันเป็นพันธกิจที่รัฐต้องดูแลประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งในด้านการให้บริการสาธารณะ การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน และการยกระดับคุณภาพชีวิต