“ไร้มิตรแท้ศัตรูถาวรทางการเมือง” คำกล่าวนี้อาจกำลังหวนกลับมาเป็นจริงอีกครั้ง เมื่อสองคู่แค้นตลอดกาลอย่าง “เนวิน–ทักษิณ” ถูกจับตาว่าอาจพลิกเกมฟื้นไมตรี จับมือร่วมตั้งรัฐบาลหลังศึกเลือกตั้งใหญ่ แม้เคยแตกหักชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ แต่เมื่อเดิมพันคืออำนาจสูงสุด ทุกเส้นทางก็พร้อมบรรจบกัน
การเมืองไทยตลอดกว่าสองทศวรรษพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่มีคำว่า “มิตรแท้” หรือ “ศัตรูถาวร” โดยเฉพาะในสมรภูมิที่อำนาจคือเดิมพันสูงสุด ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดกำลังปรากฏในความสัมพันธ์ระหว่าง เนวิน ชิดชอบ และ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ที่เคยเป็นเสมือนคู่แค้นทางการเมืองชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ แต่วันนี้กลับถูกมองว่ามีโอกาสฟื้นไมตรีเพื่อจับมือกันอีกครั้งในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ย้อนกลับไปในปี 2554 พรรคภูมิใจไทยลงสนามการเมืองครั้งแรก ได้ 34 ที่นั่ง เป็นพรรคอันดับ 3 ต้องถอยไปเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคเพื่อไทยก้าวขึ้นครองอำนาจเต็มสูบ แม้ภูมิใจไทยจะมี “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” เป็นฐาน แต่ก็ยังไม่อาจข้ามพ้นกำแพงความนิยมระดับชาติที่พรรคเพื่อไทยปลุกกระแสได้สำเร็จ
การเลือกตั้งปี 2562 พรรคภูมิใจไทยกลับมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ 51 ที่นั่ง แต่ก็อาศัยกองทัพ “งูเห่า” เพิ่มจำนวนเป็นกว่า 60 ที่นั่ง จนกลายเป็นพรรคตัวแปรสำคัญในรัฐบาลยุคนั้น ก่อนจะมาถึงการเลือกตั้ง 2566 ที่ภูมิใจไทยทำสถิติสูงสุดของตัวเองคือ 70 ที่นั่ง เป็นพรรคอันดับ 3 สลับบทบาททั้งการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้าน กระทั่งขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม จากตัวเลข 70 ที่นั่ง หรือราว 14% ของสภาผู้แทนราษฎรนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนบัญชีรายชื่อที่ได้เพียง 1.1 ล้านเสียง ห่างไกลจากคะแนน ส.ส. เขตกว่า 5 ล้านเสียง ทำให้ภูมิใจไทยยังติดอยู่กับภาพลักษณ์“พรรคท้องถิ่น–พรรคบ้านใหญ่” มากกว่าจะเป็นพรรคการเมืองระดับชาติ
เมื่อมองไปยังการเลือกตั้งครั้งหน้า โพลหลายสำนักชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า พรรคประชาชน ยังมีแรงสนับสนุนสูงสุด มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นพรรคอันดับ 1 ของประเทศ ขณะที่พรรคเพื่อไทยที่เคยครองบทบาทแกนนำอาจถดถอยลงอย่างหนักจากกรณี “คลิปฮุนเซน” และคดีความที่รุมเร้า ทั้งคดีชั้น 14 ที่ทำให้ทักษิณต้องกลับเข้าคุก
ในห้วงเวลาเช่นนี้ พรรคภูมิใจไทยถูกโฟกัสว่าเป็น “ขั้วอนุรักษ์นิยมตัวจริง” ที่มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคเพื่อไทย โดยมี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นตัวเต็งนายกรัฐมนตรีอีกสมัย หากสามารถสร้างผลงานช่วงครึ่งปีจากนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน
ทว่า คำถามคือ การเมืองไทยหลังการเลือกตั้งจะเดินไปในทิศทางใด หากพรรคประชาชนครองเสียงข้างมากเกินกว่า 180 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทยอาจได้เพียง 120 ที่นั่ง และพรรคเพื่อไทยอ่อนแรงต่ำกว่า 100 ที่นั่ง
ดังนั้น ทางรอดของภูมิใจไทยในการสืบทอดอำนาจมีอยู่เพียงสองทาง คือ ขึ้นเป็นพรรคอันดับ 1 ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ในเชิงโครงสร้าง หรือถอยกลับไปเป็นพรรคอันดับ 3 เพื่อรอร่วมรัฐบาล หากพรรคเพื่อไทยยังพอรักษาฐานเสียงได้ การกลับมาร่วมมือกันระหว่าง “เนวิน–ทักษิณ” จึงกลายเป็นบทสรุปที่ไม่เหนือความคาดหมาย
แม้ทั้งคู่เคยเป็นคู่แค้นทางการเมือง แต่ในโลกการเมืองที่เดิมพันคือการครองอำนาจ ไม่มีคำว่าศัตรูถาวร เมื่อผลประโยชน์ตรงกัน เส้นทางที่ดูขัดแย้งที่สุดก็สามารถบรรจบกันได้ การเมืองไทยเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง และครั้งนี้ก็อาจไม่แตกต่าง
ท้ายที่สุด หากพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยตัดสินใจจับมือกันหลังการเลือกตั้งใหม่จริง จะถือเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า การเมืองไทยยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏจักรที่ไร้มิตรแท้และศัตรูถาวร โดยมีเพียง “อำนาจ” เท่านั้นที่เป็นเป้าหมายสูงสุด
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้การฟื้นไมตรีของเนวินกับทักษิณ กลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะกำหนดทิศทางการเมืองไทยในยุคต่อไป
#การเมืองไทย #เนวินชิดชอบ #ทักษิณชินวัตร #พรรคภูมิใจไทย #พรรคเพื่อไทย #พรรคประชาชน #เลือกตั้งใหม่ #วิเคราะห์การเมือง